AOT ใครๆ ก็ว่า เสือนอนกิน ธุรกิจนี้ไม่มีคู่แข่งจริงหรือ ? (วิเคราะห์)
ธุรกิจที่ไม่มี “คู่แข่ง” ธุรกิจนั้นจะถูกเรียกว่า “ผูกขาด” อย่างสมบูรณ์แบบ
ลูกค้าไม่มีทางเลือกจะต้องซื้อหรือใช้บริการแค่บริษัทนั้นบริษัทเดียว
แล้วหนึ่งในธุรกิจที่อยู่ในโมเดลการ “ผูกขาด” ดังกล่าว ก็คือธุรกิจ “สนามบิน” โดยเฉพาะบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือที่เรียกว่า AOT ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ มีกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 70% อีก 30% ที่เหลือคือนักลงทุนทั่วไป
ทำไมเราถึงบอกว่า AOT ผูกขาดธุรกิจ ทั้งๆ ที่ยังมีสนามบินของกรมท่าอากาศยาน, และของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส
เคยได้ยินไหมว่าใครที่ยึด “สมรภูมิรบหลัก” ได้ คนนั้นคือผู้มีอำนาจมากที่สุด
และAOTก็คือคนคนนั้น
เพราะนี่คือบริษัทที่แม้จะบริหารสนามบินแค่ 6 แห่งคือ สุวรรณภูมิ-เชียงใหม่-แม่ฟ้าหลวง-ดอนเมือง-ภูเก็ต และหาดใหญ่
แต่เชื่อไหมว่าสนามบิน “สุวรรณภูมิ” กับ “ดอนเมือง” นี่แหละ! ที่คือ “หัวใจหลัก” สร้างรายได้มหาศาลให้แก่AOT
ปี 2018 สนามบินสุวรรณภูมิมีผู้โดยสารรวมทั้งขาเข้าและออก 62.8 ล้านคน อัตราผู้โดยสารเติบโต 6.3% และมีพนักงานอยู่ที่สนามบิน 3,175 คน
สนามบินดอนเมืองมีผู้โดยสารทั้งขาเข้าและออก 40.5 ล้านคน อัตราผู้โดยสารเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว 9% โดยมีพนักงานสนามบิน 1,423 คน
โดยธุรกิจสนามบินจะมีรายได้หลักๆ ก็คือค่าบริการสนามบินจากผู้โดยสารขาเข้า-ขาออก และรายได้จากการแบ่งผลประโยชน์
ที่น่าสนใจก็คือ 2 สนามบินอย่างสุวรรณภูมิและดอนเมือง มีสัดส่วนผู้โดยสารรวมกันถึง 74% จาก 6 สนามบินของAOTที่มีผู้โดยสารรวมกันทั้งหมด 139.5 ล้านคน
และ 6 สนามบินของAOTที่มีผู้โดยสารรวมกันถึง 139.5 ล้านคน/ปี นั้นช่างแตกต่างจากกรมท่าอากาศยานที่มี 24 สนามบิน แต่มีผู้โดยสารรวมกันแค่ 18.9 ล้านคน/ปี โดยสนามบินทั้งหมดของกรมท่าอากาศยานนั้นอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด
เป็นการฉายภาพให้เห็นว่าการที่AOTกุมอำนาจบริหารสนามบินทำเลอันดับ 1 และ 2 ของประเทศทำให้มีจำนวนผู้โดยสารแบบทิ้งขาดกรมท่าอากาศยาน จนสามารถสร้างรายได้และกำไรในการทำธุรกิจในแต่ละปีได้อย่างมหาศาล
แถมธุรกิจสนามบินนั้นมีอัตรากำไรหลังจากหักต้นทุนแล้วประมาณ 50% ที่น่าสนใจการคิดต้นทุนในงบการเงินประจำปีนั้น AOTยังรวมไปถึงการคำนวณค่าเสื่อมสภาพของสนามบินและสินทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่เม็ดเงินค่าใช้จ่ายจริงๆ ในธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบนี้ไม่ใช่ว่าAOTกับกรมท่าอากาศยานจะเป็นคู่แข่งกัน
เพราะทั้ง 2 บริษัทนี้จะไม่มีสนามบินที่เป็น “พื้นที่ทับซ้อน” กันเลยแม้แต่น้อย จึงไม่เกิดการแย่งชิงลูกค้ากันเอง
หากจังหวัดไหนมีสนามบินของกรมท่าอากาศยานก็จะไม่มีสนามบินของAOT
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคู่แข่งของAOTก็คือ “ตัวเอง”
เพราะ ณ เวลานี้สนามบินที่สร้างรายได้อันดับ 1 อย่าง “สุวรรณภูมิ” ไม่สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพียงพอตามอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
เดิมทีสนามบิน “สุวรรณภูมิ” ถูกประเมินว่าสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 45 ล้านคน/ปี แต่เชื่อไหมว่า ณ วันนี้ตัวเลขล่าสุดในปี 2018 มีจำนวนผู้โดยสาร 62 ล้านคน/ปี เลยทีเดียว
และจำนวนผู้โดยสารที่ล้นสนามบินนี้แหละ! คือความท้าทายที่ AOT ต้องคิดหนัก
หากบริการ-การรักษาความปลอดภัย-ความแออัดของสนามบิน ไม่ถูกใจผู้โดยสารก็จะทำให้ภาพลักษณ์สนามบินแห่งนี้ติดลบในใจผู้ใช้บริการ
ถึงแม้ “สุวรรณภูมิ” จะเป็นสนามบินผูกขาดที่สายการบินต่างๆ ต้องใช้บริการก็ตามที
แต่หาก Brand เสียหายก็ย่อมส่งผลกระทบไปยังการทำธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน
การใช้งบประมาณ 2-3 แสนล้านบาทเพื่อขยายอาณาจักรสนามบินสุวรรณภูมิ 2 หมื่นไร่ จึงถูกอนุมัติขึ้น โดยเป็น Project ระยะยาวแบ่งเป็น 5 เฟส
โดยระบุการก่อสร้างที่แน่ชัดแล้วนั้น คือการสร้างไปถึงเฟส 3 ที่จะใช้เงินลงทุนการก่อสร้างรวมกัน 60,000 ล้านบาท โดยมีกำหนดแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2021 ซึ่งจะทำให้ “สุวรรณภูมิ” สามารถรองรับผู้โดยสาร 90 ล้านคน/ปี
แล้ว ณ วันนั้น วันที่เฟส 3 เสร็จสมบูรณ์ จำนวนผู้โดยสารในสนามบินสุวรรณภูมิจะเกิน 90 ล้านคน/ปี หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป
แต่ที่แน่ๆ AOTจะยังมีกำไรมหาศาลกับธุรกิจที่มีคู่แข่งแค่คนเดียวก็คือ “ตัวเอง”
ที่มา: รายงานประจำปี 2018 ของ AOT-กรมท่าอากาศยาน
Website : Marketeeronline.co /
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ