ตลาดเครื่องสำอาง 2562 วิเคราะห์ KARMART กับ BEAUTY สาวไทยแฮปปี้แบรนด์ไหนมากกว่ากัน ?
“KARMART” และ “BEAUTY” ธุรกิจเครื่องสำอางสัญชาติไทยที่ในวันนี้สู้กันอย่างสูสี ต่างงัดกลยุทธ์มาหวังเพื่อโกยกำไรในตลาดเครื่องสำอางและความงามในไทยที่มีมูลค่าสูงถึง 57,000 ล้านบาท
แล้วทั้งสองใครทำได้ดีและสวยมากกว่ากัน
–KARMART–
ย้อนไปเมื่อ 37 ปีก่อน ครอบครัว “ทีฆคีรีกุล” ที่ทำธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ “Distar” โดยนำเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แล้วนำมาประกอบเองส่งขายในไทย แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างจนมาลงเอยที่ธุรกิจเครื่องสำอางในเครื่องหมายการค้า “KARMART” ในปี 2552 และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัทคาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการในปี 2554
–BEAUTY–
จุดเริ่มต้นจากครอบครัว “ไกรภูเบศ” สามีภรรยาที่เป็นแพทย์และพยาบาลจากร้านเครื่องสำอางชื่อ นีโอ ที่สยามสแควร์ในปี 2541 พัฒนามาเป็น บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเดิมเป็นชื่อ บริษัท โมนาโพลิแตนท์ จำกัด
แล้ว ”คาร์มาร์ท”-“บิวตี้” ทำธุรกิจแบบไหน อะไรบ้าง
คาร์มาร์ทแบ่งธุรกิจเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในมือออกเป็น 2 ส่วน คือ กลุ่มแบรนด์ที่คาร์มาร์ทเป็นตัวแทนจำหน่าย กับกลุ่มแบรนด์ที่คาร์มาร์ทเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าเอง โดยเป็นการจ้างผลิต
ส่วนที่เป็นเจ้าของเองนั้นครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อาหารเสริม แยกเป็น Cathy Doll, Baby Bright, Boya, Jejuvita, Reunrom, Crayon, Cathy Choo, Oppa Style, SKYNLAB, BERGAMO
ทำให้คาร์มาร์ทมีผลิตภัณฑ์เพื่อความงามแบบครบวงจรรวมทั้งสิ้นมากกว่า 1,000 รายการ และจำหน่ายในร้านชื่อคาร์มาร์ทอย่างเดียว
ขณะที่บิวตี้แยกธุรกิจหน้าร้านที่เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทตัวเองออกเป็น 2 ร้าน คือ บิวตี้ บุฟเฟต์ และ บิวตี้คอทเทจ โดยผลิตภัณฑ์ในร้านทั้งสองบิวตี้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าเองเช่นกัน
และมีร้านบิวตี้ มาร์เก็ต ที่เป็นร้านขายผลิตภัณฑ์ความงามทั้งของแบรนด์ตัวเองและแบรนด์อื่นๆ
ที่น่าสนใจคือสินค้าที่อยู่ในมือของทั้งสองรายเป็นแบรนด์ที่เจ้าตัวเป็นเจ้าของเอง นั่นเท่ากับว่า เขาจะได้รายได้และกำไรเต็มๆ จากการขายสินค้าแบรนด์เหล่านี้
นอกจากนี้กลยุทธ์การทำธุรกิจของทั้งสองจะว่าเหมือนกันก็ไม่ใช่ จะว่าต่างกันก็ไม่เชิง
เพราะคาร์มาร์ทเน้นทำธุรกิจแบบขายสาขาแฟรนไชส์ เปิดรับตัวแทนจำหน่าย ส่วนบิวตี้นั้นเป็นเจ้าของเองมากกว่า
สิ่งที่เหมือนกันคือการวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ต คอนวีเนียนสโตร์ ช่องทางออนไลน์ และรุกขยายต่างประเทศ
มีแบรนด์ของตัวเองในมือมากมายขนาดนี้ “คาร์มาร์ท-บิวตี้” มีรายได้ และกำไรเท่าไรกัน
ปีที่ผ่านมา คาร์มาร์ทมีรายได้รวม 1,523.19 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 28.43 ล้านบาท หรือ 1.83%
ส่วนด้านกำไร มีกําไรสุทธิ 360.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 78.59 ล้านบาท หรือ 27.91%
ที่มา : เอกสารชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน)
บิวตี้ มีรายได้รวม 3,501.24 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้ 3,735.37 ล้านบาท หรือ 6.27%
กำไรสุทธิ 991.59 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไร 1,229.32 ล้านบาท
ที่มา : รายงานประจำปีของบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)
หากลองแยกสัดส่วนรายได้มาจากช่องทางไหนมากกว่ากัน ด้านคาร์มาร์ทไม่ได้แจงว่าสัดส่วนจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศมีเท่าไร แต่ก็เชื่อว่ารายได้ส่วนใหญ่มาจากในประเทศ
ขณะที่บิวตี้นั้นรายได้ส่วนใหญ่มาจากในประเทศเช่นกัน โดยมาจากร้าน “บิวตี้ บุฟเฟต์” 54% รองลงมาเป็นรายได้จากต่างประเทศ 20%
ตลาดเครื่องสำอาง หากเทียบกันหมัดต่อหมัดใครทำได้ดีกว่านั้น
Marketeer มองว่า คาร์มาร์ททำได้ดีกว่าในแง่ของกำไรที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี แม้ในปีนี้ที่มีรายได้ลดลงเล็กน้อยก็ตาม ขณะที่ฟากบิวตี้นั้นทั้งรายได้และกำไรลดลง ทำให้หุ้นร่วงลงทันที
ลองวิเคราะห์เหตุผลของทั้งสองบริษัทที่แจงนั้น คาร์มาร์ทมีต้นทุนการขายและบริการลดลง ประกอบกับได้กำไรจากเงินลงทุนร่วมค้า และบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น
ส่วนบิวตี้นั้นได้รับผลกระทบจากปี 2561 อย. ตรวจเข้มเครื่องสำอาง ทำให้สภาวะตลาดซบเซา รวมทั้งผลกระทบจากรายได้นักท่องเที่ยวจีนปีที่ผ่านมาน้อยลง แสดงให้เห็นว่า บิวตี้เน้นกลุ่มลูกค้าคนจีนเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมองว่า คาร์มาร์ท mass เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากกว่า ด้วยรูปลักษณ์หน้าร้าน ด้วยสินค้าที่จับกลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะวัยรุ่นได้มากกว่า แม้เทียบสาขาแล้วจะต่างกันอยู่มากก็ตามที
คาร์มาร์ท-มีคาร์มาร์ทช็อปรวมแล้ว 61 สาขา แบ่งเป็น กทม. และปริมณฑล 30 สาขา และ ตจว. 30 สาขา อีกหนึ่งสาขาในชื่อ Cathy Doll Shop
– มีตัวแทนจำหน่ายในร้านค้าดั้งเดิมกว่า 800 ราย
ส่วนสาขาในต่างประเทศนั้นมีด้วยกัน 14 ประเทศ
บิวตี้-มีสาขารวมกันทั้งหมด 348 สาขา แบ่งเป็น บิวตี้ บุฟเฟต์ 265 สาขา, บิวตี้ คอทเทจ 76 สาขา และร้านบิวตี้ มาร์เก็ต 7 สาขา
และสาขาในต่างประเทศอีก 10 ประเทศ
อีกทั้งการสร้าง Brand Awareness ด้วยการใช้ดารา นักร้อง อินฟลูเอนเซอร์ ของฝั่งคาร์มาร์ทชนะแบบใสๆ
นับจากนี้ธุรกิจความงามของทั้ง “KARMART” และ “BEAUTY” จะเดินไปทางไหน
จะสวยสังหารหรือไม่ต้องติดตาม
แต่บอกได้ตอนนี้เลยว่า ยังคงต้องพึ่งรายได้จากลูกค้าคนไทยในประเทศต่อไป
งบรายได้ไตรมาส 1/2562
คาร์มาร์ท
มีรายได้ 375.96 ล้านบาท
กำไร 77.00 ล้านบาท
บิวตี้
มีรายได้ 548.74 ล้านบาท
กำไร 69.55 ล้านบาท
ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ