หากพูดถึง ประเทศที่ผลิต Startup ชื่อดังของโลก ชื่อของ สหรัฐฯ จีน อังกฤษ หรือ อิสราเอล จะลอยขึ้นมาทันที

แต่หลังจากอ่านบทความนี้จบ ประเทศสวีเดน จะเข้าไปอยู่ใน List ของคุณ

 

ถ้านับจำนวนสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าเกินพันล้านเหรียญ (ยูนิคอร์น) สหรัฐฯ และ จีน เป็นผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่าลืมว่าประชากรของสองประเทศนั้นมีถึง 300 – 1,300 ล้านคน

แต่ถ้าเทียบมูลค่าของยูนิคอร์น กับ จำนวนประชากรทั้งประเทศ สวีเดน จะขึ้นมาเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ ทันที ด้วยจำนวนประชากรแค่ 10 ล้านคน แต่ยูนิคอร์นของสวีเดนมีมูลค่าสูงถึง 35.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบไปด้วย

1.Spotify (Music Streaming) มูลค่าบริษัท 16 พันล้านเหรียญ
2.Skype มูลค่าบริษัท 8.5 พันล้านเหรียญ ในตอนที่ขายให้ Microsoft เมื่อปี 2011
3.Avito (Trading Platform) มูลค่าบริษัท 3.4 พันล้านเหรียญ
4.Klarna (Payment Services) มูลค่าบริษัท 2.5 พันล้านเหรียญ
5.Mojang (บริษัทพัฒนาเกม Minecraft) มูลค่าบริษัท 2.5 พันล้านเหรียญ ในตอนที่ขายให้ Microsoft เมื่อปี 2011
6.King (บริษัทพัฒนาเกม Candy Crush)
7.Evolution Gaming (บริษัทพัฒนาเกม)

Spotify ถือเป็น ยูนิคอร์นที่ตัวใหญ่สุดของสวีเดน และในยุโรป ด้วยมูลค่าบริษัทที่สูงถึง 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2017 และคาดว่าน่าจะยังโตได้อีก เนื่องจาก Spotify สามารถเพิ่ม Scale ขยายไปในต่างประเทศได้อย่างมั่นคง

ผู้ก่อตั้งของ Skype เองก็เป็นชาวสวีเดน ที่ถึงแม้ Skype จะสูญเสียฐานลูกค้าให้โซเชียลมีเดียรายอื่นๆ แต่ก็สามารถขายให้ Microsoft ด้วยมูลค่าถึง 8,500 ล้านเหรียญ

และที่เหลือก็คือ บริษัทผู้พัฒนาเกมชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น Mine Craft, Candy Crush Saga หรือ เกมคาสิโนออนไลน์ ทั้งหลาย ก็มาจาก Startup ของ Sweden ทั้งนั้น

 

 

Sweden เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสวัสดิการดีมากทั้ง เรื่องการศึกษา การรักษาพยาบาล ผู้สูงอายุ การเลี้ยงลูก แต่ที่รัฐบาลสามารถทำได้ขนาดนั้น ก็เพราะการเก็บภาษีที่สูงมากเช่นกัน โดย Tax Agency ของสวีเดนก็ทราบเรื่องนี้ดี และรู้ว่าคนสงสัยเรื่อง ภาษี ของสวีเดนเป็นอย่างมาก ก็เลยสร้างเว็บไซต์เพื่ออธิบายเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ถึงขั้นมีหัวข้อที่ชื่อว่า “ทำไม คนสวีเดนถึงโอเคกับการจ่ายภาษี”

มีงานวิจัยชั้นนำทั่วโลกชี้ว่า การเก็บภาษีที่สูงแบบที่สวีเดนทำ เป็นอุปสรรคขัดขวาง หลายด้าน เช่น ด้านการใช้จ่าย ด้านความเป็นอยู่ รวมถึงการเป็นเจ้าของธุรกิจ

แต่สวีเดนไม่คิดเช่นนั้น เพราะการที่รัฐเก็บภาษีสูง ก็เพื่อเอาไปใช้จ่ายกับเรื่องที่สำคัญ ทั้งสุขภาพ การศึกษา การว่างงาน การชดเชยต่างๆ ซึ่งการมีเกราะคุ้มครองเหล่านี้ ทำให้คนสวีเดนกล้าเสี่ยงมากขึ้น กล้าคิดอะไรใหม่ๆ ไม่อยู่ในกรอบเดิมๆ

 

การจะมี Tech Company เกิดขึ้นในประเทศนั้น ก็ต้องมี Technology ที่เพียงพอให้ประชาชนได้ใช้งาน

1.ลดหย่อนภาษี เมื่อซื้อคอมพิวเตอร์

ในปี 1990 รัฐบาลสวีเดน มีการลดหย่อนหรือผ่อนปรนภาษี ให้กับครัวเรือนที่ซื้อคอมพิวเตอร์ ก็เพราะต้องการให้เด็กคุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์ โดยตัวอย่างที่ดี คือ CEO และ ผู้ก่อตั้งของ Klarna “Sebastian Siemiatkowski” ที่กล่าวว่า “สมัยก่อน ครอบครัวผมไม่สามารถซื้อคอมพิวเตอร์ได้ เพราะมันมีราคาสูง แต่ด้วยการอุดหนุนของรัฐบาล ผมจึงมีคอมพิวเตอร์ใช้ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ”

ปัจจุบัน Klarna เป็นบริษัทด้านการชำระเงิน ที่ว่ากันว่า 1ใน 3 ยอดขายที่เกิดในออนไลน์ของสวีเดน อยู่บนแพล็ตฟอร์มของ Klarna

2.Open-Fiber network

ในช่วงปี 1990 เป็นต้นมา รัฐบาลสวีเดนเล็งเห็นว่า อินเตอร์เน็ต เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศ จึงได้ลงุทนกับอินเตอร์เน็ตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

จนปัจจุบัน 94.8% ของคนสวีเดนใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก และประเทศที่อับดับดีกว่าสวีเดนนั้น เป็นประเทศที่ประชากรน้อยกว่าสวีเดนทั้งสิ้น เช่น หมู่เกาะแฟโรห์ ไอซ์แลนด์ เบอร์มิวด้า และ นอร์เวย์ ส่วนสหรัฐฯ เอง ด้วยขนาดที่ใหญ่มาก ทำให้การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตอยู่ที่ 84%

ส่วนความเร็วเฉลี่ยอินเตอร์เน็ตของสวีเดน อยู่ที่ 22.5 Mbps เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2016 น้อยกว่าแค่ 2 ประเทศนั่นก็คือ เกาหลีใต้ และ นอร์เวย์ เท่านั้น

3.ติดตั้ง Super-Fast Fiber Optics

สวีเดน ไม่ได้หยุดแค่นั้น ตอนนี้แผนงานที่กำลังทำอยู่ก็คือ พัฒนาอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (100 Mbps) ให้ได้ทั่วประเทศ ซึ่งตอนนี้ครอบคลุม 60% ของประเทศแล้ว และคาดว่าจะครอบคลุม 90% ในปี 2020

ซึ่งหมายความว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า เกือบทั้งประเทศจะเข้าถึงอินเตอร์เน็ต และ 90% เป็นอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง

 

จะเห็นได้ว่าการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของสวีเดนที่สูงถึง 95% นั้น เป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการพัฒนาประเทศ เด็กที่เกิดตั้งแต่ปี 1980-1990 เป็นต้นมา ก็จะมีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตตั้งแต่อายุยังน้อย และตอนนี้ก็กลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยใน Stockholm 16-18% ของคนในเมือง ทำงานด้านโปรแกรมเมอร์ และเมืองนี้ได้อันดับ 2 เมืองที่เหมาะสำหรับ Startup อีกด้วย

 

 

ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ สวีเดนก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างจากประเทศอื่น แต่สิ่งที่ต่างคือ พวกเขารู้ว่าอะไรคือจุดอ่อน และอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ

1.ดึงเอกชนเข้ามาแข่งขัน

ในอดีต ระบบสาธารณูปโภคของสวีเดนอยู่ในมือของรัฐเพียงผู้เดียว แต่หลังจากปี 1990 การเปลี่ยนแปลงก็เริ่มขึ้น รัฐเริ่มให้เอกชนเข้ามาแข่งขัน ตั้งแต่ระบบไฟฟ้า แท็กซี่ โทรคมนาคม รถไฟ สายการบิน

ไม่ใช่แค่นั้น สวัสดิการอื่นๆ ที่ภาคเอกชนสามารถทำได้ดีกว่า ก็มีการ Outsource มากขึ้น เช่น การดูแลผู้สูงอายุ การศึกษา

2.ลดการผูกขาด

Competition Act เริ่มในปี 1993 เป็นการแทรกแซงของรัฐฯ เพื่อป้องกันการผูกขาดในตลาด เช่น ถ้ามี 3 บริษัทที่ถือครองตลาดโทรคมนาคม หากบริษัท A ไป Take Over บริษัท B ด้วยเงินลงทุนจากต่างประเทศ จะทำให้บริษัท A ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 80% รัฐบาลก็จะไม่ยินยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ถึงแม้บริษัท A จะทำตามหลักการก็ตาม

การทำเช่นนี้ส่งผลให้ผู้เล่นรายเล็ก สามารถเข้ามาในตลาดได้มากขึ้น และเปิดโอกาสให้เกิดธุรกิจดีๆ มากมาย อย่างปัจจุบันมีผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตในสวีเดน มากกว่า 10 ราย

3.ลดภาษีรายได้ Startup

การขายหุ้นในบริษัทของ Startup เป็นหนึ่งในการหารายได้ที่ดีที่สุด แต่ถ้าคุณเป็นบริษัทเล็ก การขายหุ้นนี้จะต้องเสียภาษีด้วย (income taxes on stock options) การต้องเสียภาษีตั้งแต่แรกทำให้ไม่สามารถมีทุนในการดึงมันสมองเก่งๆ เข้ามาในบริษัทได้ ดังนั้นตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป กฎนี้จะถูกยกเลิกให้แก่ สตาร์ทอัพที่อายุน้อยกว่า 10 ปี และมีพนักงานน้อยกว่า 50 คน

 

สุดท้ายแล้ว ระบบนี้จะเกิดไม่ได้เลย ถ้าคนขาดความเชื่อมั่นในระบบที่พวกเขาอยู่

ถ้าพนักงานไม่เชื่อมั่นในหัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงาน พวกเขาก็แสดงความสามารถไม่เต็มที่

ถ้าคนไม่เชื่อในระบบเศรษฐกิจ พวกเขาก็ไม่อยากลงทุนทำอะไร

ถ้าคนไม่เชื่อในระบบภาษี พวกเขาก็ไม่อยากจ่ายภาษีเต็มจำนวน

และถ้าคนไม่เชื่อในรัฐบาล ก็ยากที่ประเทศจะประสบความสำเร็จได้

 

สิ่งเหล่านี้ คือ ปัจจัยที่สำคัญมากในการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศ เพราะแค่เงินลงทุน ทุกประเทศก็พอมีอยู่แล้ว

ฉะนั้นสำหรับประเทศที่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับประเทศ รวมถึง ประเทศไทย โจทย์ที่ต้องแก้ให้ได้ ก็คือ ความเชื่อมั่น  

 

 

แถม

อีกหนึ่ง Character สำคัญของสวีเดน ก็คือ ความสนุกและสร้างสรรค์ และนี่คือตัวอย่างข้อมูลที่สวีเดนอยากให้คุณรู้จัก

1.มีกวางมูส 400,000 ตัว ในป่าสวีเดน

2.Meatballs ของ Ikea ถูกกินวันละ 2,000,000 ชิ้น จาก 340 สาขา และว่ากันว่าคนเยอรมันเป็นคนที่กินเยอะที่สุด

3.95,700 ทะเลสาป ในสวีเดน

4.99% ของขยะในสวีเดน รีไซเคิลได้ โดย 50% ถูกนำไปเผาเพื่อให้พลังงาน

5.52% ของพลังงานที่ผลิตได้ในสวีเดน เป็น Renewable Sources และ 95% มาจากพลังงานน้ำ

6.มีชนเผ่า Sami 20,000 คน อยู่ในสวีเดน และปกครองตนเอง

7.ชาวสวีเดนชื่นชอบการกิน Crayfish  หรือ กุ้ง อย่างมาก พวกเขาจับ Crayfish ได้ปีละ 219,000 กิโลกรัม

8.ชาวสวีเดนทำงานเฉลี่ย 1,611 ชั่วโมงต่อปี หรือประมาณ 6 ชั่วโมงนิดๆ ต่อวัน

9.ในหน้าร้อน สวีเดนมีแสงแดดถึง 56 วัน แต่ในหน้าหนาว คุณจะเจอ ความมืดล้วนๆ 32 วัน

 

 

ที่มา :

WeForum

Bloomberg

The Guardian

The Atlantic

Independent



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online