ตลาดของใช้สำหรับเด็ก ยังคงเป็นตลาดที่น่าจับตามองถึงแม้ว่าอัตราการเกิดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจะลดลงทุกๆ ปี โดยในปี 2560 ที่ผ่านมามีมูลค่าสูงถึง 34,800 ล้านบาท และในปี 2561 คาดว่าจะเติบโตได้อีกไม่ต่ำกว่า 10%

ทำไมตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กยังคงโต

เราคงเคยเห็นตัวเลขสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติกันมาบ้างตามข่าวต่างๆ ว่าประเทศไทยมีการเกิดของเด็กลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 มีเด็กเกิดใหม่เพียง 700,000 คน และในปี 2561 ก็ถูกคาดการณ์ออกมาในตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่อัตราการเกิดของเด็กๆ ลดลงจนภาครัฐประกาศให้เป็นนโยบายแห่งชาติเพราะถ้าดูตามค่าเฉลี่ยแล้วตั้งแต่ปี 2558-2561 คุณแม่ 1 คนเฉลี่ยมีบุตรเพียง 1-2 คน โดยมีอัตราการเจริญพันธ์ุเพียง 1.6 คน

อรุณศรี พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้กล่าวว่า

“อัตราการมีบุตรน้อยนั้นเองทำให้คุณแม่เลี้ยงดูบุตรด้วยสินค้าที่ดีขึ้นโดยเฉพาะเด็กๆ ตั้งแต่อายุแรกเกิดถึง 3 ปี โดยจากตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก 34,800 ล้านบาท สามารถแบ่งได้ 5 กลุ่มด้วยกัน โดยนมผง, ของใช้สำหรับเด็กและผ้าอ้อม ยังคงเป็น TOP 3 ในตลาดนี้ ต่อมาคือ เสื้อผ้าสำหรับเด็ก และของใช้สำหรับการเดินทางหรือ Baby Furniture เช่น คาร์ซีท และรถเข็น เป็นต้น”

เพราะอะไรตลาด Baby Furniture จึงน่าสนใจ

แต่ถ้าเจาะลงมาสินค้าที่ขายดีและเติบโตอยู่แล้วอย่างนมผง ผ้าอ้อม ของใช้สำหรับเด็ก ก็กินตลาดไป 2 ใน 3 ของตลาดรวมอยู่แล้ว แต่ถ้ามองลึกลงไปจะเห็นอยู่อีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจคือ ของใช้สำหรับการเดินทางหรือ Baby Furniture

เราจะเห็นได้ว่าตลาด Baby Furniture ในปี 2561 นี้ ถูกคาดการณ์เติบโตเช่นเดียวกับตลาดรวมที่ 10% และถ้าถามว่าทำไมถึงโต เป็นเหตุผลง่ายๆ ว่า สินค้าคาร์ซีทยังมีการใช้ที่น้อยอยู่ เนื่องจากมีราคาแพงจากภาษีการนำเข้าที่ 20% ทำให้การจัดจำหน่ายแพงกว่าที่ลูกค้าจะรับไหว รวมถึงการที่ครอบครัวหรือคุณพ่อคุณแม่ของเด็กคงคิดว่าคาร์ซีทนั้นไม่จำเป็น แต่ถ้ามองดูในต่างประเทศเขาได้ออกเป็นกฎหมายในการใช้คาร์ซีทเพื่อความปลอดภัยสำหรับเด็กเป็นที่เรียบร้อยหมดแล้ว

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าปัจจุบันการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ครอบครัวมีขนาดเล็กลง แต่ค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการที่คุณแม่และคนรอบข้างต้องการให้เด็กได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด โดยอัตราเฉลี่ยของคุณแม่ที่ใช้จ่ายกับบุตร 1 คน มากกว่า 7,500 บาทต่อเดือนนั้นสูงถึง 50%

จากตัวเลขดังกล่าว เห็นได้ว่ากลุ่มคุณแม่ที่มีรายได้มากก็จะใช้จ่ายให้ลูกในอัตราที่สูงขึ้นเพื่อให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด จึงเป็นโอกาสของสินค้าพรีเมียมต่างๆ ที่จะเข้าไปเจาะกลุ่มคุณแม่

ตลาดของใช้สำหรับเด็ก

ถึงมีออนไลน์แต่หน้าร้านยังจำเป็น

“ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มคุณแม่กว่า 90% ยังนิยมซื้อสินค้าเด็กจากหน้าร้านหรือตามห้างสรรพสินค้า โดยมีการใช้ช่องทางออนไลน์ไม่ถึง 10% แต่ปัจจุบันพฤติกรรมดังกล่าวได้เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นผลจากโปรโมชั่นของช่องทางออนไลน์ได้เข้ามากระทบกลุ่มคุณแม่นั่นเอง โดยกลุ่มคุณแม่ซื้อสินค้าเด็กผ่านออนไลน์นั้นเติบโตทุกๆ ปี”

เหตุนั้นเองก็ไม่อาจส่งผลกระทบของยอดขายหน้าร้านเท่าไรนักเนื่องจากกลุ่มคุณแม่นิยมใช้ช่องทางออนไลน์ไว้หาข้อมูลและยังคงนิยมซื้อจากหน้าร้านหรือตามห้างสรรพสินค้า เช่นเดิมเนื่องจากจับต้องได้และได้สินค้าเลย โดยเฉพาะสินค้าอย่างรถเข็น หรือคาร์ซีทที่มีราคาแพง จึงจำเป็นที่จะต้องเห็นสินค้าตัวจริง

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
WebsiteMarketeeronline.co / Facebookwww.facebook.com/marketeeronline



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online