ตลาดจีนเป็นตลาดที่ใหญ่และน่าสนใจ แต่ก็มีคำถามที่แบรนด์ถามมาเสมอว่า จะขาย นักท่องเที่ยวจีน อย่างไรดี?
Marketeer จึงอยากจะพาคุณมารู้จักนักท่องเที่ยวจีนให้มากขึ้น ผ่านข้อมูลดังต่อไปนี้
คนจีนออกเที่ยวไม่ถึง 10% ของประชากร
จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าในปีที่ผ่านมามีคนจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย 9.8 ล้านคน และในเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2561 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทย 6.96 ล้านคน
จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยดูเหมือนมีจำนวนมาก จนติดอันดับ 1 แซงหน้าประเทศอื่นๆ มาหลายปี ซ้อน
แต่ความจริงแล้วนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทย ถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อย ถึงน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับคนจีนทั้งประเทศที่มีมากถึง 1.4 พันล้านคน และตลาดนักท่องเที่ยวจีนยังสามารถเติบโตได้อีกมาก
เพราะในวันนี้ มีคนจีนไม่ถึง 10% ที่มีพาสปอร์ต และเชื่อว่าอัตราการมีพาสปอร์ตเติบโตมากขึ้นตามความเจริญของประเทศ
แม้ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศอันดับ 1 ที่คนจีนเดินทางท่องเที่ยว แต่เมื่อเทียบกับญี่ปุ่น ประเทศไทยถือว่ามีภาษีที่ดีกว่าในด้านการเติบโตของนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่มีฐานะปานกลางไปจนถึงฐานะดี
เหตุผลคือการทำวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น มีความยากลำบากมากกว่าวีซ่าเข้าประเทศไทยหลายเท่า
เพราะการทำวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นคนจีนจะต้องนำเงินฝากในธนาคาร 1 แสนหยวน และเมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวแล้วจะต้องเก็บเงิน 1 แสนหยวนไว้ในธนาคารอีก 3 เดือน ก่อนที่จะถอนออกมาได้
ส่วนประเทศไทยสามารถทำวีซ่าด่วนที่สนามบินก่อนเดินทางได้เลย ให้ความสะดวกและรวดเร็วกว่ามาก
5 เทศกาลหลักผลักคนจีนออกเที่ยว
แม้จะมีคนจีนออกเดินทางท่องเที่ยวตลอดทั้งปี แต่มีเทศกาลถึง 5 เทศกาล ที่คนจีนนิยมเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก
ซึ่งประกอบด้วย
และเมื่อนักท่องเที่ยวจีนได้ออกเที่ยว ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะเที่ยวประมาณ 4-6 วันต่อทริป เพราะพวกเขาจะเที่ยวกันในแถบเอเชียเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนี้ พวกเขายังนิยมเดินทางท่องเที่ยว
Shopping คือหัวใจอันดับหนึ่งนักท่องเที่ยวจีน
เมื่อ นักท่องเที่ยวจีนมาไทย ส่วนใหญ่จะใช้เงินเฉลี่ยคนละ 5,001-40,000 บาท กับสิ่งต่างๆ และช็อปปิ้ง คือกิจกรรมที่ดูดเงินนักท่องเที่ยวชาวจีนได้มากที่สุด
โดยก่อนที่จะเข้ามาในประเทศไทย นักท่องเที่ยวจีน จะทำการบ้าน จดสินค้าที่ต้องการและเปรียบเทียบราคาก่อนมาซื้อ เพื่อดูว่าสินค้ากลุ่มไหนควรซื้อที่ไหนถึงจะคุ้มค่าสุด
Duty Free
จะนิยมซื้อเครื่องสำอางแบรนด์เนม เช่น Lancôme, SKII, Dior, Giorgio Armani เป็นต้น เพราะมีราคาที่ถูกกว่าประเทศจีนเกือบเท่าตัว
Shopping Mall
ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจีนจะไปห้างสรรพสินค้า เพื่อซื้อเสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆ โดยแบรนด์ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีนได้แก่
นารายา, Levi’s, Lee, Melissa, Zhoelala, Jelly Bunny และชุดชั้นในอย่างวาโก้ และไทรอัมพ์
Luxury Story
สินค้าแบรนด์เนมในไทยจะมีราคาถูกกว่าจีนประมาณ 5-10% ทำให้นักท่องเที่ยวจีนกระเป๋าหนักนิยมมาซื้อสินค้าแบรนด์เนมอย่าง CUCCI, Louis Vuitton, Chanel, Bvlgari, Jo Malone และ Prada กลับไป
Convenient Store / Supermarket
จะเน้นไปยังของขบเคี้ยวและขนมยอดนิยมของคนจีน อย่างเช่น เลย์, เบนโตะ, หมูแผ่น Entrée, สาหร่ายเถ้าแก่น้อย, ทุเรียนอบกรอบ, นมเม็ด, ชาตรามือ, มาม่า และน้ำผึ้งจิตรลดา เป็นต้น
และบางครั้งนักท่องเที่ยวจีนก็รับหิ้วสินค้าต่างๆ เหล่านี้ให้กับแม่ค้า/พ่อค้าชาวจีนนำไปขายต่อในประเทศอีกด้วย
Boots/Watson
แหล่งซื้อยา อย่างเช่น ยาดมโป้ยเซียน และเซียงเพียวอิ๊ว ซอร์ทเฟล เคาน์เตอร์เพน ยาอมตะขาบ 5 ตัว ย่าหมองและกอเอี๊ยะตราเสือ และเครื่องสำอางทั่วไป เช่น ลอรีอัล สเนลไวท์ และอื่นๆ โดยนักท่องเที่ยวจีนจะเน้นซื้อจากร้านที่มีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวจีน และร้านที่มีขายสินค้าพิเศษที่หาจากที่ไหนไม่ได้เป็นหลัก
Mobile Payment และ QR Code ของที่ขาดไม่ได้ของ นักท่องเที่ยวจีน
ในปัจจุบันคนจีนมากถึง 91% ใช้จ่ายผ่าน Mobile Payment เป็นหลัก ด้วยเหตผลหลักคือได้รับส่วนลด สะดวกสบาย และสินค้าบางรายการที่จ่ายผ่าน Mobile Payment มีราคาถูกกว่าจ่ายเงินสด
และพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่าน Mobile Payment นี้เอง ได้ทำให้คนจีนรู้จัก QR Code เป็นอย่างดี ในฐานะตัวแทนในการจ่ายเงิน และตัวแทนของ Information และส่วนลดต่างๆ
ทำให้พวกเขาติดนิสัยเมื่อเจอ QR Code จะชอบสแกนดูว่า สิ่งที่อยู่ใน QR Code คืออะไร เพื่อหวังว่าสิ่งที่อยู่ใน QR Code จะเป็นส่วนในการซื้อสินค้าที่ต้องการ
ซึ่งนักการตลาดไทยสามารถนำ Mobile Payment และ QR Code มาสร้างจุดขายให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนได้
ที่มา: งานสัมมนา Blink_Live Thailand โดย MediaCom ในเครือ Group M หัวข้อ How to capture Chinese tourists in Thailand โดย Luying Yap Business Director, TraXasia Cross-Border Chinese Tourists Solution Specialist
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ