ราว 10 ปีที่ผ่านมาแบรนด์สัญชาติเกาหลีใต้ในกลุ่มเทคโนโลยีปักธงในตลาดโลกสำเร็จ โดยเบอร์ต้น ๆ คือ Samsung และ LG แต่มาปีนี้แบรนด์หลังขาดทุนหนักในตลาด Smartphone จนประกาศยุบธุรกิจนี้ แต่มองอีกด้าน นี่คือการตัดใจปิดธุรกิจที่ขาดทุนเพื่อหันมามุ่งกับธุรกิจที่จะทำเงินต่ออีกมหาศาลในอนาคต
ธุรกิจที่ LG ในยุคของ Koo Kwang-mo ผู้บริหารรุ่น 4 หันมาให้ความสำคัญคือแบตเตอรี่รถ EV ซึ่งกำลังโตควบคู่ไปกับการขยายตัวของตลาดรถ EV โดยหากจะว่าไปแล้วก็ยังเป็นการกลับสู่จุดเริ่มต้นของแบรนด์ เพราะแบตฯและครีมทาหน้าคือการต่อยอดจากเคมีภัณฑ์เช่นกัน
Chaebol อายุ 7 ทศวรรษในมือผู้บริหารรุ่น 4 ที่หันมาลุยแบตฯ รถ EV
LG เริ่มต้นในปี 1947 จากบริษัทเคมีภัณฑ์ที่มีผลิตภัณฑ์ตัวแรกเป็นครีมทาหน้า โดย Koo In Hwoi ผู้ก่อตั้งเลือก Lak Hui มาเป็นชื่อแบรนด์ที่หมายถึงโชคดี (Lucky) เพราะคงอยากให้ธุรกิจนี้ไปได้สวย มีความเจริญก้าวหน้า หลังต้องล้มลุกคลุกคลานในการทำธุรกิจมาก่อน
Koo In Hwoi
Koo In Hwoi โชคดีสมใจ โดยครีม Lucky ขายดีในเกาหลีใต้ พาให้ได้ใช้องค์ความรู้ทางเคมีรุกสู่ธุรกิจพลาสติกเป็นบริษัทแรกของเกาหลีใต้
และถัดมาในปี 1958 เขาก็เปิดบริษัท Goldstar ขึ้นมาเพื่อรุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เช่น โทรทัศน์ วิทยุ เตาไมโครเวฟ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอีกเช่นกัน
พอปี 1983 Lucky กับ Goldstar ก็รวมกันเป็นบริษัทเดียวภายใต้ชื่อ LG โดยภายใต้การบริหารของผู้บริหารรุ่น 2 และ 3 ซึ่งเป็นลูกและหลานของ Koo In Hwoi ก็พาLGก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างโทรทัศน์และ Smartphone เป็นธุรกิจสร้างชื่อ
ปี 2013 Smartphone ของLGขึ้นสู่จุดสูงสุด ด้วยยอดขายมากเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นที่จดจำจากหน้าจอที่ใหญ่ ทว่าหลังจากนั้น Smartphone ก็ร่วง และขาดทุนสะสมมากมาย สวนทางกับ Smartphone แบรนด์จีนนำโดย Huawei
ปี 2018 Koo Kwang-mo ลูกบุญธรรมวัย 40 ปีของ Koo Bon Moo ขึ้นมาเป็นผู้บริหารรุ่น 4 หลังพ่อบุญธรรมตายจากอาการเนื้องอกในสมอง
Koo Kwang-mo เริ่มปรับทิศทางบริษัท หันมาผลิตแบตฯ EV ให้ค่ายรถใหญ่ ๆ ทั้ง Tesla และ GM
Koo Kwang-mo
มาปีนี้ เมื่อเห็นว่า Smartphone ไปต่ออีกไม่ไหวและตัวเลขขาดทุนสะสม 6 ปีที่ผ่านมา มากถึง 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 141,000 ล้านบาท) Koo Kwang-mo จึงตัดสินใจยุบธุรกิจนี้ และพอดีกับที่ธุรกิจแบตฯ รถทยอยประสบความสำเร็จ
ไตรมาสแรกปีนี้ LG คือแบตฯ รถ EV ที่ทำยอดขายเป็นอันดับ 2 ทั่วโลกด้วยสัดส่วน 20.5% รองแค่ CATL และหากรวมกับ Samsung กับ SK แบรนด์เกาหลีใต้จะครองสัดส่วนมากถึง 30% หรือคิดเป็น 1 ใน 3 เลยทีเดียว
Koo Kwang-mo ย้ำแผนลุยตลาดแบตฯ รถ EV ด้วยการสร้างโรงงานมูลค่า 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 73,800 ล้านบาท) ในสหรัฐฯ เพื่อป้อนแบตฯ ให้ GM เมื่อเมษายนที่ผ่านมา โดยแน่นอนว่าเป้าหมายคือการขึ้นอันดับ 1 ในตลาดแบตฯ รถ EV ให้ได้นั่นเอง/koreantimes. cnbc, forbes, businesskorea, wikipeidia, nikkei
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline
