Sizzler มาทำความรู้จักร้านสเต๊กแสนอร่อยที่ขึ้นชื่อเรื่องสลัดบาร์กันเถอะ

เชื่อได้เลยว่าหากเอ่ยชื่อแบรนด์นี้ออกไป หลายคนน่าจะนึกถึงสลัดบาร์ไม่ก็สเต๊กแน่นอน เพราะแบรนด์นี้ก็คือ Sizzler (ซิซซ์เล่อร์) แบรนด์ร้านอาหารขึ้นชื่อเรื่องสเต๊ก ซีฟู้ด และสลัดสไตล์ตะวันตกที่สามารถสร้างรายได้ต่อปีได้เกือบ 200 ล้านดอลลาร์ต่อปี

Sizzlerก่อตั้งโดยสองสามีภรรยา Del และ Helen Johnson (เดลและเฮเลน จอห์นสัน) ซึ่งร้านแห่งแรกเปิดให้บริการในเมืองคัลเวอร์ซิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1958

โดยSizzlerได้รับแรงบันดาลใจในขณะที่ทั้งคู่ได้เดินทางไปเที่ยวยุโรป แล้วพบกับอาหารนานาชาติหลากหลายชนิดที่มีจำหน่ายในตลาดท้องถิ่น พวกเขาจึงเกิดความคิดที่จะเปิดร้านอาหารขึ้นมา ประกอบกับการที่ทั้งคู่ได้เห็นบทความในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับร้านสเต๊กแห่งหนึ่งที่มีราคาไม่แพงทำให้เขาสนใจอยากเข้าไปซื้อกิจการ

แต่ในขณะนั้น Del และ Helen Johnson มีเงินลงทุนไม่เพียงพอ พวกเขาจึงขอยืมเงินลงทุนจาก Jim Collins (จิม คอลลินส์) เพื่อนของเขาที่เป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร

โดยพวกเขาตั้งใจที่จะเปิดร้านสเต๊กที่เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังและสลัดตามที่พวกเขาเห็นในร้านอาหารต่าง ๆ ในยุโรปในราคาที่ไม่แพงเกินไปและทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ส่งผลให้พวกเขาตั้งชื่อร้านแห่งนี้ว่าSizzler ซึ่งมาจากเสียงฉ่าในภาษาอังกฤษว่า Sizzling เพื่อสื่อความหมายถึงการเสิร์ฟสเต๊กบนกระทะร้อน ๆ นั่นเอง

ด้วยความที่ไม่มีเงินทุน การเปิดร้านในช่วงแรก ๆ จึงเต็มไปด้วยอุปสรรคที่มาจากอุปกรณ์ไม่เพียงพอ ทำให้พวกเขาต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะด้วยการขอยืมเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ มาจากเพื่อน ๆ

แต่หลังจากเปิดร้านไม่นาน Sizzlerก็ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นด้วยจุดขายที่โดดเด่นอย่างสเต๊กและสลัดในราคาถูกนี้เอง จึงทำให้สามารถเติบโตไปได้อย่างก้าวกระโดดและสามารถขยายสาขาไปทั่วสหรัฐฯ ได้อย่างรวดเร็ว

จนมาถึงในปี 1966 สองสามีภรรยาต้องการพักผ่อนจากการทำธุรกิจเป็นเวลานาน จึงได้ส่งต่อกิจการSizzlerให้ Jim Collins เพื่อดูแลสืบต่อไป

โดยการดูแลของ Jim Collins ผู้มีประสบการณ์เปิดร้านอาหารมาก่อน ทำให้Sizzlerสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว อย่างในปี 1972 มีสาขาประมาณ 200 สาขาในสหรัฐอเมริกา และ 5 ปีให้หลังสามารถขยายสาขาได้มากถึง 331 สาขาเลยทีเดียว

และในปี 1977 นี้เองที่ทำให้การเติบโตของSizzlerโดดเด่นไปอีกขั้น นั่นก็คือ การที่ Jim Collins ได้เปลี่ยนสลัดที่เสิร์ฟพร้อมสเต๊กธรรมดาให้กลายเป็นสลัดบาร์ที่ลูกค้าทุกคนสามารถเดินไปตักรับประทานได้อย่างอิสระ เพราะ Jim Collins ให้ความเห็นว่าสลัดที่เสิร์ฟในตอนแรกมีโอกาสพัฒนาให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น และแตกต่างจากคู่แข่งร้านสเต๊กอื่น ๆ จึงเกิดเป็นไอเดียนี้ขึ้นมานั่นเอง

ซึ่งสลัดบาร์นี้เองที่ทำให้Sizzlerมีความแปลกใหม่และเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร จึงสามารถดึงดูดลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก จนสามารถขยายสาขาไปต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 1985 เป็นปีแรกที่ได้ดำเนินกิจการในต่างประเทศ โดยเริ่มจากการเปิดสาขาในออสเตรเลีย ก่อนที่จะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ อย่างญี่ปุ่นและไทย

แต่ในปัจจุบันSizzlerเผชิญกับความยากลำบากในการเติบโต โดยเฉพาะในปี 2020 ปีที่เกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลให้Sizzlerในสหรัฐอเมริกาต้องประกาศยื่นขอความคุ้มครองล้มละลายในบทที่ 11 โดยอ้างถึงผลกระทบของการระบาดใหญ่ที่ทำให้ต้องปิดร้านอาหาร จนมีปัญหาการจ่ายค่าเช่า ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องยื่นฟ้องล้มละลายถึง 107 สาขาในสหรัฐอเมริกา

และในทุกวันนี้ Sizzlerก็ยังคงดำเนินการและพยายามสร้างธุรกิจใหม่ด้วยการปรับปรุง คิดค้นเมนูใหม่ รวมไปถึงแคมเปญโฆษณา เพื่อสร้างให้แบรนด์กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

แม้เปลี่ยนแปลงก็ไม่ลืมจุดยืนของตัวเอง

ภายหลังที่Sizzlerได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงร้านเนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 Sizzlerได้ออกแบบร้านใหม่เพื่อรองรับพฤติกรรมของลูกค้าที่หันมาใช้เทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น มีระบบรองรับให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ผ่านโทรศัพท์มือถือของลูกค้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น

แต่ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ Sizzler ยังคงเก็บรักษาไว้เหมือนเดิมนั่นก็คือ สลัดบาร์ ที่เป็นจุดยืนและจุดขาย โดยทางแบรนด์ให้ความเห็นว่าสลัดบาร์นี้เองที่ไม่มีแอปใดหรือเทคโนโลยีใดสามารถสร้างประสบการณ์การรับประทานให้น่าประทับใจได้เท่าสลัดบาร์อีกแล้ว

ซึ่งจุดยืนนี้เองที่ทำให้Sizzlerเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่น่าจับตามองว่าจะมีทิศทางการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จะเติบโตไปในทิศทางไหน และมีกลยุทธ์อะไรที่ทำให้ยอดขายกลับมาเติบโตเหมือนเดิม

เรื่อง: ภริดา มุทิตาภรณ์

ที่มา:

https://en.wikipedia.org/wiki/Sizzler