ไม่มีความสำเร็จใดได้มาโดยง่าย – ทุกครั้งที่ตาเหลือบไปเห็นความสำเร็จของใครต่อใครบน Social Media เช่น รถคันใหม่ บ้านหลังโต หรือได้ไปท่องเที่ยวที่หมายยอดฮิตในต่างประเทศ เสียงหนึ่งคงดังขึ้นในใจ “น่าอิจฉาจัง” ไม่แปลกถ้าเป็นแบบนี้ เพราะคุณไม่ใช่คนเดียวที่เป็นแบบนี้ เพื่อลด Volume เสียงแห่งความริษยาในใจเรา ให้คิดย้อนกลับไปว่า เจ้าของโพสต์ต้องทุ่มเทแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำนานเท่าไรแลกกว่าจะได้รางวัลแห่งความสำเร็จมาครอง และควรมองต่อไปว่าของที่พวกเขานำมาอวดอาจกลายเป็นภาระผูกพันให้เหนื่อยต่ออีกก็เป็นไปได้
ใช้เป็นแรงบันดาลใจ – ป่วยการที่จะมานั่งจมอยู่กับความอิจฉาและน้อยอกน้อยใจกับความสำเร็จผู้อื่นบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ดีกว่าไหมถ้าเปลี่ยนมันเป็นแรงบันดาลใจแล้วตั้งปณิธานว่า “เราต้องเก่งแบบเขาให้ได้” เพราะเมื่อไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจแต่ยังเป็นโอกาสให้เราประกาศให้โลกรู้เช่นกัน
“ยินดีด้วยนะ” – การคิดบวกยังเป็นแนวทางที่ใช้ได้กับทุกเรื่อง รวมถึงลดความอิจฉาที่กัดกินใจเราหลังเห็นโพสต์ประเภท ‘ชีวิตดี๊ดี” มากมายที่ชาว Facebook ,Twitter และ Instagram นำมาอวดกัน แต่หากคิดได้ว่า “ยินดีด้วยนะ” แล้วกด Like ให้เขาไปเหล่านั้นไปด้วยความจริงใจ ไม่ใช่แค่ยาบรรเทาอาการตาร้อน มันจะทำให้เราพอใจในสิ่งที่ตนมีและอาจต่อยอดเป็นแรงกระตุ้น ปลุกเราลุกขึ้นมาสานฝันให้ตัวเองด้วย
เรื่องดีๆมีไว้แบ่งปัน – เราล้วนอิจฉาผู้ที่ประสบความสำเร็จและคิดลบว่า “คงแค่อยากอวด” แต่ในความเป็นจริงเมื่อเรื่องที่หวังตั้งใจปรากฏให้เห็น ใครบ้างไม่อยากบอกโลกให้รู้ ใครบ้างไม่ชอบคำชมหรือกำลังใจ และน้อยคนที่ใช้ Social Media เพียงเพื่อให้คนอื่นอิจฉา ฉนั้นครั้งต่อไปเมื่อภาพเหตุการณ์ดีๆ น่าประทับใจในชีวิตผู้อื่นขึ้นมาบน News Feed ให้กด Like ไปเลย เชื่อเถอะว่าเมื่อเป็นทีเราโพสต์บ้าง ถ้ามีคน Like เยอะๆ เราก็คงชื่นใจไม่ต่างกัน
ห่างกันซักพัก – ถ้าทำทุกทางที่ว่ามาแล้ว ตายังร้อนผ่าวอยู่ ก็ถึงเวลาต้องห่างกันซักพักกับ Social Media เพื่อเรียกคืนความมั่นใจและจะได้มีเวลาไปมุ่งมั่นกับเรื่องที่ควรทำในชีวิตจริง เพราะไม่มีความสำเร็จใดมาถึงได้ด้วยการมองอิจฉาผู้อื่น น้อยใจในโชคชะตาแต่ไม่ลงมือทำ ชีวิตจะดีจะร้ายก็เกิดขึ้นจากตัวเราเอง ไม่ใช่ผู้อื่น
ที่มา : success.com