เศรษฐกิจใหม่ ไทยแลนด์ 4.0 ใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ เราคงเคยได้ยินกันบ้างแล้ว แต่เชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยได้ยินต้องบอกว่านี่คือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ไปสู่ “Value–Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” โดยมีฐานคิดหลัก คือ เปลี่ยนจากการผลิตสินค้า “โภคภัณฑ์” ไปสู่สินค้าเชิง “นวัตกรรม”มากขึ้น

นั่นคือความหมายของแนวคิดไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งการจะทำให้เป็นจริงได้นั้น พื้นฐานสำคัญอย่างแรกคือ องค์กรเอกชนตลอดจนภาครัฐ ที่จะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาการบริหารจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Data Center/IOT/Cloud Computing เพื่อที่จะสร้างสินค้าและบริการเชิงนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

 

พัฒนาทั้งองคาพยพเศรษฐกิจ

ในโอกาสที่อิเมอร์สัน เนทเวอร์ค พาวเวอร์ เปลี่ยนชื่อเป็น “เวอร์ทีฟ”อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เป็นโอกาสดีที่เราได้พูดคุยกับ มร.พอล เชอร์ชิล รองประธาน ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ – เวอร์ทีฟ เอเชีย ประเด็นน่าสนใจเขามองว่าไทยแลนด์ 4.0 จะสร้างโอกาสครั้งสำคัญให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยดีขึ้น และเอื้อต่อการทำตลาดของเวอร์ทีฟ ที่จะใส่เกียร์รุกเต็มที่ในปีนี้ เพื่อร่วมสนับสนุนแนวคิด 4.0 ให้เป็นจริง

มร.พอล เชอร์ชิล รองประธาน ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ – เวอร์ทีฟ เอเชีย

“แน่นอนว่าไทยแลนด์ 4.0 จะเป็นมิติใหม่ที่ทำให้ประเทศไทยพัฒนาไปทั้งระบบ ยกระดับอุตสาหกรรมต่างๆในประเทศ ตลอดจนสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเงิน ธนาคาร กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรรม หรือกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นโครงสร้างของประเทศ จะต้องเรียนรู้สร้างนวัตกรรมช่วยธุรกิจคุณให้ลื่นไหลได้ ”

 

เกษตรกร SMEs ต้อง Smart

การเกษตรสมัยใหม่ ต้องเน้นการบริหารจัดการและเทคโนโลยี (Smart Farming) เรียนรู้เป็นเกษตรกรแบบเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) หรือผู้ประกอบการ SMEs ต้องเปลี่ยนจาก Traditional SMEs หรือ SMEs ที่มีอยู่และรัฐต้องให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไปสู่การเป็น Smart Enterprises หรืออย่าง Startups บริษัทเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เปลี่ยนจาก Traditional Services ซึ่งมีการสร้างมูลค่าค่อนข้างต่ำ ไปสู่ High Value Services

“เรากำลังอยู่ในยุค Big Data ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในทุกธุรกิจก็ว่าได้ ถ้าสามารถบริหารจัดการได้ ก็จะได้เปรียบการแข่งขัน ง่ายๆเลย อย่างเช่นถ้าเกษตรกรเรียนรู้แอปพลิเคชันที่ช่วยดูราคาพืชผลการเกษตร คลิกทีเดียว ก็จะรู้ราคากลาง ก็จะไม่ถูกเอาเปรียบได้ หรือแอปพลิเคชันอื่นที่ช่วยเรื่องการตลาดก็มีมากขึ้น แต่ทำอย่างไรให้เกษตรกรส่วนใหญ่ ยอมรับเรียนรู้การใช้งาน อันนี้สำคัญ” ผู้บริหารอธิบาย

เวอร์ทีฟในโกลบอล

พร้อมสนับสนุนภาครัฐและเอกชนพัฒนา Solutions เต็มประสิทธิภาพ

แน่นอนว่าในส่วนองค์กรเอกชน ต่างให้ความสำคัญและมีการพัฒนาการบริหารจัดการเทคโนโลยีดิจิทัล

ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Data Center/IOT/Cloud Computing อยู่แล้ว โดยเฉพาะองค์กรภาคการสื่อสารโทรคมนาคม โอเปอร์เรเตอร์เจ้าต่างๆ ซึ่งเวอร์ทีฟมีส่วนสำคัญในการดูแลทั้งในส่วนของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการด้านพลังงาน(Power Solution) อุณหภูมิและความชื้น (Cooling Solution) ตลอดจนการควบคุม (Monitoring)เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลของลูกค้าสามารถดำเนินการอย่างมีเสถียรภาพ

นอกเหนือจากการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมด้านระบบโซลูชันเพื่อบริหารจัดการการใช้พลังงาน ความร้อน และการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน เวอร์ทีฟ ยังมีความชำนาญในการสร้างศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์แบบครบวงจร ดูแลบริหารจัดการการใช้พลังงาน ความร้อน และระบบตรวจสอบสำหรับการบริหารและการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่าศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม

“ในฐานะที่เราเป็นองค์กรด้าน Energy-Efficient and Reliable Technology สิ่งสำคัญที่สุดคือการซัพพอร์ตให้องค์กรต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและเอกชนสามารถดำเนินการอย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งยิ่งเทรนด์เรื่อง Big Data มีความสำคัญมากขึ้น เราเองก็ต้องยกระดับการซัพพอร์ต สร้างโซลูชันมากขึ้น เพื่อที่ลูกค้าจะสามารถรันธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด”

เวอร์ทีฟ ในประเทศไทย ทำตลาดผลิตภัณฑ์และบริการแบบหลากหลาย ทั้งด้านจัดการการใช้พลังงาน ความร้อน และการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยีไอที เหมือนที่เคยดำเนินการภายใต้ชื่อ อิเมอร์สัน เนทเวอร์ค พาวเวอร์ ซึ่งรวมถึงแบรนด์ธงที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรม เช่น ASCO®, Chloride®, Liebert®, NetSure ™ และ Trellis ™ การเปลี่ยนชื่อบริษัทให้เป็น เวอร์ทีฟ และการบริหารบริษัทแบบสแตนด์อโลน เป็นไปหลังการขายหุ้นให้กับบริษัท แพลตินัม อีควิตี้ (Platinum Equity) เสร็จสิ้นสมบูรณ์

ชี้ประเทศไทยมีศักยภาพการเติบโตสูงสุด

พิเชฏฐ เกตุรวม ผู้จัดการภูมิภาคอินโดจีน เวอร์ทีฟ เล่าว่า ประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน ยังเป็นหนึ่งในตลาดที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดสำหรับเวอร์ทีฟในเอเชีย โดยช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีโครงการที่สำคัญๆ เกิดขึ้นทั้งในประเทศและในภูมิภาค ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวให้ทันการแข่งขัน สร้างความทันสมัยและยกระดับระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ที่เป็นปัจจัยสำคัญเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน เพิ่มความคล่องตัว และสร้างประสิทธิภาพมากขึ้น

“เวอร์ทีฟ เห็นศักยภาพการเติบโตของ Collocation ธุรกิจเทเลคอมและการธนาคาร เช่นเดียวกับโครงการต่างๆ ภายใต้หน่วยงานภาครัฐ ที่มีปริมาณการนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น เพื่อยกระดับการให้บริการ ภายใต้แบรนด์ใหม่ เวอร์ทีฟ ที่สร้างความตื่นเต้นในภาคธุรกิจ บริษัทยังคงเดินหน้าสานต่อการทำงานร่วมกับพันธมิตรในแต่ละท้องถิ่น ทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคอินโดจีน”

พิเชฏฐ เกตุรวม ผู้จัดการภูมิภาคอินโดจีน เวอร์ทีฟ

ซึ่งโครงการเด่นๆ เหล่านี้ รวมถึงการสร้างระบบโซลูชั่นศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์แบบครบวงจรในประเทศเมียนมาและกัมพูชา ตลอดจนโซลูชั่นส์สำหรับการบริหารจัดการศูนย์ Collocation สนับสนุนระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รองรับการเติบโตและการจัดการข้อมูลที่เพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

“บริษัทเราดำเนินกิจการในประเทศไทยมานานหลายปี และแม้จะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “เวอร์ทีฟ” บริษัทจะยังคงเดินหน้าสร้างผลงานดีเด่นอันเป็นที่ยอมรับและรากฐานที่มั่นคงสานต่อจากที่ได้สั่งสมมาอย่างยาวนาน ซึ่งกับวิสัยทัศน์ไทยแลนด์ 4.0 ของประเทศไทย เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ลูกค้าไทย ทั้งเอกชนและภาครัฐที่จะสนับสนุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อบรรลุเป้าหมายการแข่งขันได้อย่างประสบความสำเร็จ” มร.พอล เชอร์ชิล ย้ำท้าย

รู้จัก เวอร์ทีฟมากขึ้น คลิก


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer