หลังค่ำคืนแห่งออสการ์ผ่านพ้นไป แต่รางวัลจะยังคงจารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์
และปี 2024 นี้ จะเป็นปีที่สวยงามอยู่ในใจของแฟนคลับผู้กำกับคนเก่ง “คริสโตเฟอร์ โนแลน” หรือที่คอหนังเรียกว่า “เสด็จพ่อโนแลน”
หลังจากที่ภาพยนตร์ดี ๆ อย่าง Oppenheimer คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ขณะที่ตัวโนแลนเองก็คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไปครองได้สำเร็จ ซึ่งใช้เวลารวมกว่า 15 ปี หลังเรื่อง The Dark Knight ผลงานของโนแลนเคยได้เข้าชิงออสการ์ แต่ยกเว้นสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งตอนนั้นคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการก่อกำแพงของออสการ์ที่มีต่อหนังซูเปอร์ฮีโร่
อ่าน : สรุปผลงานประกาศออสการ์ 2024 “Oppenheimer” กวาดรางวัลมากที่สุด ประกาศศักดาโนแลนอย่างสมศักดิ์ศรี
อ่าน: Christopher Nolan : คนภาพยนตร์มือทองสมองเพชร
มาปีนี้ท่ามกลางผู้เข้าชิงคุณภาพ Oppenheimer เอาชนะมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี กวาดรางวัลกลับบ้านไปได้ถึง 7 สาขา ทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม การถ่ายทำยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ตัดต่อยอดเยี่ยม จากที่มีชื่อเข้าชิงทั้งหมด 13 สาขา
ฝีมือระดับโนแลน ปล่อยของออกมาเมื่อใดก็มีกลุ่มคอหนังรอให้การต้อนรับเสมอ และแทบจะไม่ผิดหวัง
แต่ด้วยความที่หนังโนแลนขึ้นชื่อว่าดูยาก เราจึงพยายามคัดสรรลิสต์ภาพยนตร์ตัวเป้ง ที่ถือได้ว่าเป็นผลงานสร้างชื่อตกคนเข้าด้อม ให้ทุกคนสนุกตามแบบเข้าใจได้มาให้ดูกัน
The Dark Knight (2008)
ฉีกการเล่าเรื่องหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่แบบใหม่ตามสไตล์โนแลน และทำออกมาได้ดีจนมีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขา ก่อนจะคว้ารางวัลมาครองได้สำเร็จ 2 สาขา คือ ลำดับเสียงยอดเยี่ยม และนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จาก ฮีธ เลดเจอร์ ซึ่งเสียชีวิตก่อนที่ภาพยนตร์จะออกฉาย
เรื่องราวเล่าต่อจากที่แบทแมนร่วมมือกับสารวัตรเจมส์ กอร์ดอน กวาดล้างทรชน คืนความสงบให้เมืองก็อตแธม ขณะเดียวกันก็มีวีรบุรษอีกคนมาร่วมในภาคนี้ นั่นคือ ฮาร์วีย์ เดนท์ แก๊งวายร้ายจึงอยู่ไม่สุขต้องออกมาป่วนเมือง หวังกำจัดแบทแมน นำทีมโดยโจ๊กเกอร์ ที่ออกมาเล่นสงครามจิตวิทยาหยั่งเชิง อัปเลเวลเนื้อหาให้มีความซับซ้อนขึ้นอีก แอบมีดราม่าปนตอนท้าย ซึ่งภาคนี้กวาดเสียงวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญไปอย่างล้นหลาม
บอกเลยว่าใครที่ชอบแนวสงครามปั่นประสาท เล่นกับจิตวิทยา จะต้องถูกใจอย่างแน่นอน แม้จะเป็นเรื่องราวของแบทแมน แต่ภาคนี้บทส่งตัวละคร Joker มาก ๆ ให้ซีนตัวร้ายถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้สมจริงจนน่าขนลุก เสริมให้หนังมีมิติมากขึ้น
The Dark Knight Rises (2012)
แม้จะเป็นภาคสุดท้ายของแบทแมนทั้งสามไตรภาค แต่ถ้าให้จัดคะแนนความสนุก ดูง่าย ก็ต้องให้เรื่องนี้ขึ้นหน้าแรก
บอกเล่าเรื่องราวให้หลังแปดปีจากที่แบทแมน (คริสเตียน เบล) หายตัวไปอย่างลึกลับ หลังถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุการตายของฮาร์วีย์ เดนท์ เมืองก็อตแธมสงบสุขได้ไม่นานก็เจอวายร้ายคุกคามอีกระลอก และยังเป็นวายร้ายตัวฉกาจที่แข็งแกร่งจนคนดูต้องเอาใจช่วยแบทแมน ใครที่หวังจะได้ดูฉากสาดพลังทำลายล้าง ภาคนี้ตอบโจทย์เป็นที่สุด
แม้หนังจะยาวเกือบสามชั่วโมง แต่ไม่มีช่วงเบื่อสักนาที ใครดูก็สนุก ดูง่าย ดูได้ทุกเพศทุกวัย เพราะเรต 13+ ไม่ต้องใช้ความคิดทุกวินาทีเหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ สรุปจบหนังสือบทหนาของฮีโร่มนุษย์ค้างคาวฉบับคนไปได้อย่างตราตรึงใจ
The Prestige (2006)
เรื่องนี้ค่อนข้างนานมากแล้ว ใครที่เคยดูก็อาจลืม ๆ เนื้อหาไปแล้วบ้าง แต่เชื่อว่าฉากจบยังคงติดตาตรึงใจอยู่แน่นอน
สำหรับเรื่องนี้ เกี่ยวกับนักมายากลที่เก็บงำความลึกลับสองคน ต้องแข่งขันกันเพื่อไต่อันดับขึ้นเป็นนักมายากลน้ำดี แต่การแข่งขันของพวกเขา หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นเอาชีวิต และนำไปสู่ตอนจบที่ทำเอาผู้ชมอ้าปากค้าง
นักแสดงในเรื่องนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ของโนแลนตามเคย คือ ฮิวจ์ แจ็คแมน และ อัคริสเตียน เบล
หากต้องการความรู้สึกตื่นเต้น เหวอกับตอนจบ ต้องห้ามอ่าน Spoil ก่อนเด็ดขาด
Inception (2010)
เรื่องนี้ขอยกให้เป็นที่สุดของโนแลน คิดว่าเป็นหนังขึ้นหิ้งที่เสด็จพ่อโนแลนปล่อยของไม่ยั้ง และเป็นพลอตที่ชวนว้าวมาก ๆ สำหรับยุคนั้น ใครมันจะไปหยิบเอาเรื่องในชีวิตประจำวัน มาทำให้ beyond เป็นเรื่องราวสุดล้ำ ที่ต้องทึ่งแล้วทึ่งอีก สนุกจนต้องลุกขึ้นปรบมือ ถ้าไม่ใช่โนแลน
หนังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนักจารกรรมข้อมูลที่จะเข้าไปในความฝัน แล้วขโมยความลับ ตอนที่คนตกอยู่ในสภาวะฝัน และต้องมาเจองานโหดหิน เมื่อได้รับคำสั่งไปขโมยข้อมูลนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นนามว่า ไซโตะ ที่มีเรื่องราวเก่า ๆ อันถูกกดทับไว้ภายใต้จิตใต้สำนึก แล่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับความฝัน ทำให้งานยากขึ้นอีก
ถ้าต้องให้คะแนน เต็ม 10 ขอให้เรื่องนี้ 9.5 ไปเลย
หนังเรื่องนี้ยังเป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่า คนที่ Born to be เพื่อจะมาเป็นผู้กำกับ เป็นนักสร้างสรรค์ระดับโลกอย่างแท้จริง เป็นอย่างไร
บอกได้คำเดียวว่า หากได้ดู Inception ต่อจากนี้เวลาฝัน คุณจะสนุกขึ้นร้อยเท่า
Interstellar (2014)
ถ้าให้คอหนังพูดถึงภาพยนตร์เกี่ยวกับอวกาศ เดินมา 100 คน ต้องตอบชื่อนี้ทั้งร้อยคนอย่างแน่นอน กับหนังอวกาศขึ้นหิ้งที่หลายคนยกให้เป็นที่สุดของโนแลน
เปิดเรื่องมาที่โลกที่กำลังเผชิญการขาดแคลนอาหาร และภัยพิบัติถาโถม เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ ต้องออกตามหาดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่ให้คนอาศัย โดยต้องเดินทางผ่านรูหนอนแห่งกาลเวลา
Interstellar ต่างจากหนังอวกาศอื่น ๆ ตรงที่มีเรื่องมิติเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังจึงชวนฉงนจนต้องพอสแล้วพอสอีก แต่จะดูจนจบอย่างแน่นอน
ใครที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะได้เปรียบกว่านิดหน่อยเมื่อดูเรื่องนี้ เนื่องจากไม่ต้องทำความเข้าใจหลายรอบ แต่ถึงจะต้องวนดูเพื่อเก็บรายละเอียดหนังอีกรอบ (ซึ่งความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง ถ้าวนดูสองรอบเท่ากับว่าใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน) ก็ดูจะไม่น่าเบื่อนัก เพราะความสนุกกลับเพิ่มขึ้นกว่าตามรอบที่ชมอีก
Transcendence (2014)
แม้เรื่องนี้โนแลนจะมีส่วนร่วมแค่ Co-production แต่ก็อยากยกมาพูดถึงเพราะเหมาะกับยุคสมัยของเราในปัจจุบันมาก
เรื่องนี้ได้นักแสดงดัง Johnny Depp มารับบทเป็น ดร. วิล แคสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์หัวหน้าทีมวิจัย AI คิดค้นการสร้างเครื่องจักรที่มีความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์ แต่ก็ถูกต่อต้านโดย ‘ริฟท์’ (RIFT) กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ไม่เห็นด้วย ได้เข้ามายับยั้งการทำงานของทีมวิล แต่กลายเป็นชนวนเหตุที่ผลักดันให้เกิดวิวัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์
หนังเรื่องนี้ออกมาตอนช่วงปี 2014 ซึ่งเรื่องปัญญาประดิษฐ์ยังถูกกุมไว้แค่ในแล็บ ไม่แพร่หลายในหมู่มวลชนเท่าทุกวันนี้ วิทยาการในหนัง ทั้งนาโนเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์แบบแอดวานซ์โต้ตอบกับมนุษย์เสมือนคนคนหนึ่ง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ การสแกนคลื่นสมอง และอีกมากมายในเรื่อง ดูจะไม่เป็นเรื่องแปลกแล้วในวันนี้
ดังนั้น การกลับไปดู Transcendence ในตอนนี้ อาจได้การตีความใหม่ ความรู้สึกร่วมใหม่ เพราะบริบทสังคมของผู้ชมที่เปลี่ยนไป ก็เป็นได้
Dunkirk (2017)
หนึ่งในไม่กี่เรื่องที่มีความยาวไม่ถึงสองชั่วโมง น่าจะเป็นครั้งแรกที่โนแลนเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์มาเล่า เป็นหนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงที่นาซีปิดล้อมฝ่ายสัมพันธมิตร ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรที่หัวชนฝาจะเอาตัวรอดจากการโจมตีทั้งทางบก มหาสมุทร และกลางอากาศของศัตรูได้อย่างไร ต้องไปติดตาม
เรื่องนี้หากใครได้ดูในโรงจะเต็มอิ่มที่สุด เพราะซาวด์เอย ภาพ แสง สี ที่อลังการเอย คิดมาแล้วว่าพอฉายในโรงจะทวีอรรถรสของหนังได้อย่างเต็มขั้น ตื่นตาตื่นใจแบบสุด ๆ
Oppenheimer (2023)
การลำดับเรื่องคล้ายกับ Dunkirk คือไม่มีการปูพื้นเรื่องมาให้ก่อนแต่อย่างใด มาถึงก็ใส่เกียร์ เหยียบคันเร่งเดินหน้าเลย คนที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องราวตัวละครมาก่อนหน้าอาจจะงุนงงหน่อย
เนื้อหาในหนังก็ตามชื่อเรื่อง เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ Oppenheimer นักวิทยาศาสตร์ในวงการฟิสิกส์ยุคใหม่ ผู้เป็นบิดาแห่งระเบิดปรมาณู เนื่องจากเป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการแมนฮัตตันที่พัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกให้เกิดขึ้นมาบนโลกนี้
และรัฐบาลสหรัฐฯ ก็นำอาวุธอานุภาพร้ายแรงนี้ไปทิ้งถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ จนเมืองทั้งเมืองหายไปจากแผนที่โลก ประชาชนผู้ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องเผชิญกับความตายน่าสลดนับแสนคน
ภาพยนตร์จะเล่าเรื่องระหว่างทาง เริ่มตั้งแต่การได้รับมอบหมาย การหาหัวกะทิมาร่วมโครงการ การยื้อยุดกับรัฐบาล การคิดทฤษฎี จนไปสู่การทดลอง พัฒนาระเบิดขึ้นมา จบด้วยภาพที่ค้างเติ่งอยู่ในใจของ Oppenheimer
หนังทำออกมาได้ชวนอึดอัด เร้าอารมณ์กดดันภายในของผู้ชม โดยเฉพาะช่วงท้าย เล่นเอาหายใจหายคอไม่สะดวก จมดิ่งตามตัวละคร พูดได้คำเดียวว่า สมศักดิ์ศรีออสการ์
หากใครพอมีความรู้วิทยาศาสตร์ว่า Julius Robert Oppenheimer คือใคร มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับสงครามโลก และมีความสัมพันธ์อย่างไรกับไอน์สไตน์ จะได้เปรียบในการรับชม และจะทำให้หนังสนุกขึ้นหลายเท่า
การถ่ายทำก็ตามสูตรของโนแลน คือใช้ CGI ให้น้อยที่สุด หนังเรื่องนี้ยังโดดเด่นด้วยเทคนิคสลับสีภาพขาวดำ โดยใช้ฟิล์ม B&W IMAX 65 มม. ที่ใช้ถ่ายภาพยนตร์สารคดี งานภาพเรื่องนี้ก็ดีสมแบรนด์โนแลนอีกตามเคย
ปิดท้ายด้วย
Memento (2000)
หากไม่ติดเรื่องหนังเก่าไป เพราะออกฉายตั้งแต่ปี 2000 ก็อยากแนะนำเรื่องนี้ปิดท้าย เพราะหลายคนรู้จักชื่อโนแลน จากภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงไม่อยากให้พลาด
เปิดเรื่องมาที่ลีโอนาร์ด หนุ่มความจำสั้น ที่ภรรยาของเขาถูกคนร้ายบุกมาข่มขืน แล้วใช้ไม้ทุบหัวทำให้ลีโอนาร์ดความจำเสื่อม และมีภาวะจำเรื่องราวได้สั้น ๆ short term memories เขาต้องสืบหาตัวคนร้ายที่ฆ่าภรรยาผ่านความทรงจำสั้นที่ขาดช่วงนั้นให้ได้
หนังตัดต่อดีจนผู้ชมรู้สึกเป็นตัวละครนั้นเอง พยายามนึกเรื่องราวไปพร้อมกับชายผู้นั้น เพื่อหาฆาตรกรให้เจอ และตอนจบก็แสนจะพีคจนต้องเอามือทาบอก
อาจจะดูยากไปสักนิด แต่ถ้าดูเวลาที่หนังเรื่องนี้ออกมาคือเมื่อ 20 ปีคืนหลัง นับว่าพลอต การตัดต่อ การลำดับเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องใหม่มาก ๆ ในช่วงเวลานั้น โนแลนคือผู้มาเบิกทางหนังล้ำของจริง
เป็นหนังที่คุณจะต้องว่างจริง ๆ ถึงควรเปิดดู เพราะต้องใช้สมาธิโฟกัสอย่างมาก มิเช่นนั้นก็จะต้องอ้าปากเหวอ ไม่ใช่เพราะทึ่ง แต่เพราะงง ต้องจดจ่อถึงขั้นเหมือนทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดูไปก็ปะติดปะต่อเรื่องราวไป ราวกับเราเป็นชายความจำสั้นคนนั้นเสียเอง
–










