ถึงแม้ว่าการทำร้านค้าออนไลน์ใช้ต้นทุนต่ำกว่าการเปิดร้านเองมาก แต่บรรดาแบรนด์าก็ยังคงขยายสาขา และเปิดร้านกันอย่างต่อเนื่อง โดยจากรายงานการวิจัยเรื่อง “ผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีกทั่วโลกมีความเคลื่อนไหวอย่างไร” ฉบับที่ 7 ของซีบีอาร์อี ระบุว่าผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีกกังวล การแข่งขันในโลกออนไลน์ เพียง 22% เท่านั้น
ในขณะที่ปัจจัยค่าเช่าที่ และสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน สร้างความกังวลให้ผู้เช่าค้าปลีกซะมากกว่า เนื่องจากค่าเช่าเป็นต้นทุน และตัวแปรสำคัญที่จะบอกได้ว่าธุรกิจค้าปลีกจะรอดหรือไม่ ในภาพตลาดเช่นนี้
การมีหน้าร้าน เป็นมากกว่าการขยายธุรกิจ
จริงอยู่หากแบรนด์ที่มีสาขามาก ยอดขายจะมากขึ้นก็ตาม แต่สิ่งที่ได้จากการมีหน้าร้านก็คือ การสร้างภาพลักษณ์ และความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ เพราะปัจจุบันทุกแบรนด์มีร้านค้าออนไลน์กันหมด แต่หากลูกค้าได้ลองมาสัมผัสสินค้า ลองใช้ ลองสวมใส่ โอกาสที่ผู้บริโภคจะกลับไปซื้อออนไลน์ก็มีสูงมาก
โดยสถานที่ยอดฮิตของแบรนด์ที่มาจากเอเชียแปซิฟิกได้แก่ ห้างสรรพสินค้า โดยแบรนด์ที่มาจากทวีปอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) ตั้งใจที่จะขยายสาขาไปยังศูนย์กลางการคมนาคม เช่น รถไฟฟ้า รถใต้ดิน สนามบิน
ประเทศยอดฮิตของการขยายสาขา
1.เยอรมนี 35%
2.ฝรั่งเศส 33%
3.สหราชอาณาจักร 29%
4.จีน 27%
จากสภาพเศรษฐกิจในโลก ประเทศอันดับหนึ่งที่แบรนด์อยากไปขยายสาขาคือ เยอรมัน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่คงที่ ผู้คนมีกำลังซื้อ ในขณะที่ภูมิภาคอาเซียนก็มีการเติบโตอย่างน้อย 2 เท่า เนื่องจากประเทศในกลุ่ม CLMV เป็นตัวกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ การขยายมาประเทศอย่างไทยและเวียดนาม เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าไปลุยในตลาดเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา
ภูมิภาคอาเซียน
1.มาเลเซีย
2.อินโดนีเซีย
3.ไทย
4.เวียดนาม
5.ฟิลิปปินส์
ในภาพรวม ถึงแม้ว่าตลาดออนไลน์จะเปิดอย่างเต็มรูปแบบ แต่สุดท้ายก็มาถึงจุดสูงสุดเร็วกว่าที่ทุกคนคาด การมีหน้าร้านจำเป็นต่อแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าประเภทแฟชั่น ที่ผู้บริโภคชอบที่จะได้ลอง ได้สัมผัส และมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์โดยตรง
แต่สำหรับ SMEs ไม่ได้ขายออนไลน์หรือขายออนไลน์เป็นส่วนน้อย การเลือกทำเล ขนาดร้านค้า เป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณปลอดภัยในสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน
ที่มา : แผนกวิจัย CBRE
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ