ต่อให้เตรียมใจไว้ดีแต่ไหน เมื่อของที่รักที่ผูกพัน และเห็นกันมานานต้องจากไปจริงๆ ความเศร้าโศกเสียใจและเสียดายย่อมเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสให้ทบทวนประวัติความเป็นมา รวมถึงสาเหตุของการโบกมือลา เพื่อเป็นบทเรียนในการเลี่ยงจุดจบแบบเดียวกัน เหมือนล่าสุดที่ Volkswagen ประกาศว่าปี 2019 จะเลิกผลิต “รถเต่า” ยานยนต์ขนาดกะทัดรัด (Compact Car) รุ่นดังซึ่งคนทั่วโลกรู้จักกันในชื่อ Beetle
ท่ามกลางความเสียดายพร้อมเสียงบ่นตามหลังว่าใจร้ายจากคอรถ ค่ายยนตรกรรมเยอรมันจากเมือง Wolfsburg ก็เสียดายไม่ต่างกัน เพราะนี่คือการเลือกเจ็บแต่จบกับรถรุ่นที่มีความสำคัญกับบริษัทในหลายๆ ด้าน
Compact Car ที่เริ่มต้นจาก Hitler แต่ดังไปทั่วโลกในยุคบุปผาชน
Volkswagen ก่อตั้งเมื่อปี 1937 ถัดจากนั้นเพียงปีเดียว Adolf Hitler ผู้นำเยอรมนีในขณะนั้นก็สั่งการให้บริษัทผลิตรถยนต์ราคาเข้าถึงได้เพื่อประชาชนทั่วไปให้สมกับชื่อบริษัทซึ่งหมายถึง ‘รถของมวลชน’
Ferdinand Porche
ภายใต้การดูแลของ Ferdinand Porche และการออกแบบ Erwin Komenda โครงการดังกล่าวก็เห็นผล รถ 5 ที่นั่ง เครื่องยนต์อยู่ด้านหลังในชื่อ Volkswagen Type 1 ซึ่งภายหลังจะเป็นที่รู้จักกันติดปากว่า Beetle ก็เริ่มมีให้เห็นตามท้องถนน แต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องระงับผลิตเพื่อผลิตรถยนต์และยุทโธปกรณ์ต่างๆ ให้กองทัพ
หลังสงครามโลกครั้งนั้นจบลง กองทัพอังกฤษในฐานะตัวแทนชาติสัมพันธมิตรที่ชนะสงคราม ได้เข้ามาฟื้นฟูโรงงาน Volkswagen ที่เสียหายอย่างหนักจากการทิ้งระเบิด ช่วงแรกผลิตรถยนต์ป้อนให้กองทัพอังกฤษก่อน
จากนั้นจึงเริ่มขยับขยายสู่ผลิตเพื่อการจำหน่ายและส่งออก จนยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นนับล้านคันช่วงยุค 60-70 และยิ่งโด่งดังไปทั่วโลกจากภาพยนตร์ชุด Herbie ของ Walt Disney ที่มี “รถเต่า” เป็นตัวเอก
ความนิยมใน Beetle ทำให้ Volkswagen ได้ขยายกิจการไปทั่วโลก มีการตั้งโรงงานในอีก 14 ประเทศ โดยมีโรงงานที่เมือง Puebla ของเม็กซิโก เป็นฐานการผลิตนอกเยอรมนีที่ใหญ่สุด ขณะที่ตัวรถขนาดกะทัดรัด ใช้งานได้จริงแต่มีความสวยงาม ก็เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าบุปผาชน เป็นแรงบันดาลใจให้รถ Compact Car ค่ายอื่นอีกมากมาย และแน่นอนว่ามีส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นใจต่อสินค้าเยอรมันในเวทีโลกด้วย
New Beetle: รถเต่าในร่างใหม่ที่ต้องจอดเป็นช่วงๆ
ปลายยุค 90 Volkswagen เผชิญกับขาลง จากยอดขายในสหรัฐฯ ที่ตกต่ำ Ferdinand Piech ประธานบริหาร (CEO) ในขณะนั้น และหลานของ Ferdinand Porche จึงแก้เกมด้วยการเปิดตัว New Beetle ที่นำ Beetle รุ่น Classic มาปรับให้ดูทันสมัยขึ้น ซึ่งปรากฏว่าได้ผล เพียงปีเดียวทำยอดขายในสหรัฐฯ ได้ถึง 80,000 คัน
Ferdinand Piech
หลังจากนั้นแม้ยอดขายจะไม่สู้ดีนัก แต่ ‘รถเต่าในร่างใหม่’ ก็กลายเป็นตลาดใหม่ที่มีลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche) จึงมีการผลิตอออกมาอีกหลายรุ่น เช่น New Beetle RSi (2001) New Beetle (2012) New Beetle (2013) และ New Beetle Dune (2015)
ยอมปิดตำนานเพื่อการก้าวต่อไป
แล้วข่าวร้ายที่แฟนรถเต่าทั่วโลกไม่อยากได้ยินก็กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก โดย Volkswagen ประกาศว่า จะยุติการผลิต New Beetle ออกสู่ตลาด เนื่องจากยอดขายลดลงต่อเนื่อง 8 เดือนแรกของปีนี้ทำยอดขายในสหรัฐฯ ได้เพียง 11,151 คัน ลดลง 2.2% จากปี 2017
และหากรวมกับยอดขายทั่วโลกตั้งแต่ New Beetle รุ่นแรก ออกสู่ตลาดในปี 1998 ยอดขายจะอยู่ที่ราว 500,000 คัน ด้าน Henrich Woebcken–CEO ของ Volkswagen Group ในสหรัฐฯ ยอมรับว่า “แฟนๆ Beetle ทั่วโลกคงเสียใจที่ตำนานหลายทศวรรษและส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่นต้องปิดฉากลง”
Henrich Woebcken
แบรนด์รถอายุ 8 ทศวรรษยังเผยด้วยว่า New Beetle 2 รุ่นสุดท้ายคือ Final Edition SE และ Final Edition SE ซึ่งจะออกจากโรงงานในเม็กซิโกกรกฎาคมปีหน้า ที่ก่อนหน้านี้ก็เป็นโรงงานหลักในการผลิต Beetle เดิมมาน ซึ่งปิดสายการผลิตไปเมื่อปี 2003 ส่วนต่อจากจากนี้จะเปลี่ยนไปเพิ่มกำลังการผลิตรถพลังไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์ว่า การตัดสินใจแบบเจ็บแต่จบดังกล่าวของ Volkswagen ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะด้วยราคาที่สูงกว่ารถ Compact Car ทั่วไป ทำให้ผู้ที่ซื้อ New Beetle ส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มวัยกลางคนที่ผูกพันกับ Beetle รุ่นดั้งเดิมแทนที่จะเป็นคนรุ่นใหม่
และหากยังฝืนต่อไป “รถเต่า” จะกลายเป็นต้นทุนจมของบริษัทที่กำลังกู้วิกฤตศรัทธา หลังยอมรับว่ามีการติดตั้งอุปกรณ์ปลอมแปลงค่าระดับการปล่อยมลพิษเพื่อให้ผ่านการทดสอบเมื่อ 3 ปีก่อน /reuters, bbc, cnn, businessinsider, wikipedia
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ