สองเกาหลีหวังอะไรจากการหารือครั้งประวัติศาสตร์

เหลือเพียงไม่กี่ประเทศแล้วที่ยังใช้ทิศแบ่งแยกประเทศออกเป็นสอง เพื่อชี้ให้เห็นความแตกต่าง แต่การหารือครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานธิบดี มุน แจอิน ของเกาหลีใต้และคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือในวันนี้ แม้ยากจะคาดว่าเดาการรวมชาติจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ แต่ประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกจับตามองสองเกาหลีหวังอะไรจากการหารือครั้งนี้

เกาหลีใต้

เพราะกรุงโซลอยู่ห่างจากกรุงเปียงยางเมืองหลวงของเกาหลีเหนือไม่ถึง 200 กิโลเมตร เกาหลีใต้จึงเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีของฝ่ายเหนือมาตลอด 6 ทศวรรษ ยืนยันได้จากกฏหมายที่บังคับให้ชายร่างกายครบ 32 ทุกคนต้องเกณฑ์ทหาร ดังนั้นสันติภาพ ความตึงเครียดทางทหารที่ลดลง การยุติท่าทีข่มขู่และปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลของประธานาธิบดี มุน ต้องการที่สุด

หากการหารือประสบผลสำเร็จ คาดว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้จะขยายตัวได้ดีขึ้น พร้อมความหวั่นกลัวภัยคุกคามจากเพื่อนบ้านที่ลดลง โดยคาดว่ามีสองโครงการที่จะตามมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการปรองดอง หนึ่งคือการเปิดนิคมอุสาหกรรมแกซองในฝั่งเกาหลีเหนือ ซึ่งภาครัฐและเอกชนเกาหลีใต้เป็นฝ่ายลงทุน ที่ปิดไปเมื่อปี 2016 หลังรัฐบาลเกาหลีใต้เห็นว่า เกาหลีเหนือใช้เงินที่ได้จากความร่วมมือทางเศรษฐกิจไปใช้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

ส่วนสองคือการจัดงานวันพบญาติของชาวเกาหลีเหนือ-ใต้ ราว 60,000คนพลัดพรากกันไปจากสงคราม ซึ่งยุติไปจากความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลสองประเทศที่ราวฉานเมื่อปี 2015

เกาหลีเหนือ

ก่อนการหารือวันนี้ เกาหลีเหนือซึ่งเผชิญมาตรการคว่ำบาตรจากทั้งสหรัฐและสหประชาชาติ ลดท่าทีคุกคามต่อประเทศเพื่อนบ้านลงอย่างมาก เห็นชัดเจนที่สุดคือระงับโครงการอาวุธนิวเคลียร์ ดังนั้นที่เกาหลีเหนือต้องการคือยุติมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งอาจนำไปสู่การพบกันระหว่าง คิม จองอึน กับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐต่อไป

คงต้องจับตาดูต่อไปว่าการหารือกันครั้งนี้ จะช่วยให้สองเกาหลีหันมาปรองดองกันได้แค่ไหน และความสมานฉันท์ที่เกิดขึ้นนี้จะยาวนานเท่าใด แต่ที่แน่ๆ ได้เกิดนิมิตรหมายดีๆ ขึ้นแล้ว นั่นคือการที่ คิม จองอึน ได้เป็นผู้นำเกาหลีเหนือคนแรกในรอบ 55 ปีที่ข้ามไปฝั่งเกาหลีใต้ โดยมี มุน แจอิน หัวหน้ารัฐบาลประเทศหลังยื่นมือไปจับและพาเดินข้ามมาฝั่งตน ซึ่งปรากฏเป็นภาพประวัติศาสตร์ตามสื่อทั่วโลก / bbc