สังคมไร้เงินสดมีบทบาทอย่างมากในโลกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้คนเเบบพลิกฝ่ามือ หลีกเลี่ยงการสัมผัส ใช้เวลานอกบ้านน้อยลง จะสะดวกขนาดไหนหากเราสามารถเดินเข้าร้านสะดวกซื้อและหยิบสินค้าที่ต้องการออกมาได้เลยโดยไม่ต้องต่อคิวจ่ายเงินให้เสียเวลา
“จากผลสำรวจของ BusinessWire พบว่า นักช้อป 2% ในสหรัฐฯ รู้สึกไม่พอใจกับการซื้อของในร้านค้า โดย 86% เบื่อหน่ายกับการรอเงินทอน 52% โกรธที่จะต้องรอคิวจ่ายเงิน”
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เทคโนโลยีไร้แคชเชียร์ (Cashierless Technology) เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เเละมีหลายเเบรนด์เอาจริงเอาจังในการดันวิธีช้อปปิ้งเเบบนี้ให้เกิด
โดยผู้ริเริ่มเทคโนโลยีนี้คือ Amazon อีคอมเมิร์ชยักษ์ใหญ่ของโลก ที่ได้เปิดให้บริการ Amazon Go เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2017 และหลังจากนั้นจึงเริ่มมีแบรนด์อื่น ๆ เปิดตัวเทคโนโลยีชนิดนี้กันมากขึ้น
ไปดูกันว่ามีแบรนด์ไหนบ้างที่น่าสนใจ แต่ละแบรนด์นั้นมีจุดขายแตกต่างกันอย่างไร

Amazon Go
อีคอมเมิร์ชจากสหรัฐฯ รายแรกที่เปิดตัวเทคโนโลยีไร้แคชเชียร์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Just Walk Out” โดยมีการใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกับรถยนต์ไร้คนขับอย่างการประมวลภาพจากคอมพิวเตอร์ (Computer vision) การติดตั้งเซนเซอร์ตามจุดต่าง ๆ (Sensor fusion) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep-Learning)
โดยจะมีการตรวจจับอัตโนมัติเมื่อสินค้าถูกนำออกหรือนำกลับคืนชั้นวาง เมื่อซื้อสินค้าเสร็จแล้วสามารถเดินออกจากร้านค้าได้เลย โดยผู้ที่สามารถเข้าไปใช้บริการได้จะต้องติดตั้งแอปพลิเคชันและมีบัญชีของ Amazon อยู่แล้วเท่านั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการขโมยสินค้า
ปัจจุบันร้านค้า Amazon Go มีทั้งหมด 32 แห่ง ตั้งอยู่ในซีแอตเทิล, ชิคาโก, ซานฟรานซิสโก, นิวยอร์ก และลอนดอน
เเละล่าสุด Amazon Go ได้จับมือกับ Starbucks เปิดตัวร้านกาแฟแห่งใหม่ใจกลางเกาะแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก โดยจะนำเทคโนโลยีแบบไร้แคชเชียร์มาใช้เป็นแห่งแรก และมีกำหนดเปิดอีก 2 แห่งในปี 2022


Sensei
สตาร์ตอัปแบบไร้แคชเชียร์จากโปรตุเกส ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อกลางปีนี้ เพื่อสู้ศึกกับ Amazon Go สำหรับร้านค้าไร้แคชเชียร์ในพื้นที่ จุดเริ่มต้นสำคัญเกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยทางทีมมองว่าการชำระเงินแบบไร้แคชเชียร์จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในยุคนี้ เนื่องจากจะช่วยลดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่อาจเป็นพาหะนำโรค
ปัจจุบัน Sensei มีเพียงสาขาเดียวที่ตั้งอยู่ในห้าง Sonae เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โดยมีการใช้ระบบที่คล้ายกับ Amazon Go และ Amazon Fresh ซึ่งจะมีระบบกล้อง เซนเซอร์ และชุดคำสั่ง AI เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของลูกค้า รวมถึงตรวจจับเมื่อลูกค้าหยิบสินค้าออกหรือนำเข้าชั้นวาง
ทางทีม Sensei กล่าวว่าพวกเขาเป็นร้านค้าไร้แคชเชียร์แห่งแรกที่เปิดในยุโรป นอกเหนือจากร้าน Amazon Go ในสหราชอาณาจักร รวมถึงยังกล่าวอีกว่ามีแผนจะขยายและเปิดตัวร้านค้าใหม่ในอนาคต

JD.com
กลับมาที่ฝั่งเอเชีย ก็มีอีคอมเมิร์ชเจ้าใหญ่อันดับ 2 ของจีนอย่าง JD.com ที่มีเทคโนโลยีอย่าง “Unmanned Store” เช่นกัน โดยได้มีการเปิดตัวสาขาแรกที่กรุงปักกิ่งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017 และเปิดตัวในต่างประเทศในปี ค.ศ. 2018 ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
การใช้งานในจีนนั้นต้องมีการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “WeChat” ก่อนเข้าร้าน โดยภายในร้านมีการใช้ระบบ RFID (Radio frequency identification) กล้องจดจำใบหน้า และเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหวเมื่อเราหยิบหรือวางสินค้าบนชั้น รวมถึงยังสามารถติดตามพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าเพื่อที่เจ้าของร้านจะสามารถสต๊อกสินค้าได้อย่างครบถ้วนเพียงพอต่อความต้องการมากขึ้น
“อย่างไรก็ดี แม้เทคโนโลยีไร้แคชเชียร์จะเป็นกระแสอีกครั้งจากการเปิดตัว Stabucks กับ Amazon Go แต่ในอดีตก็มีร้านค้าไร้แคชเชียร์ที่ต้องปิดตัวลงในจีนอยู่มาก ปัญหาหลักคือการสมัครใช้แอปพลิเคชันและลงทะเบียนใช้ระยะเวลานานและมีหลายขั้นตอน ซึ่งก็อาจเป็นบทเรียนให้กับบริษัทเจ้าอื่น ๆ ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดกันต่อไป”
–
