ประกันภัยสัตว์เลี้ยง ทำไมจึงเป็นโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจประกัน (วิเคราะห์)
เมื่อการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงในยุคปัจจุบัน ถูกยกระดับและให้คุณค่าสัตว์เลี้ยงเป็นเสมือนสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว (Pet Humanization) และกลายเป็น “ทาส” ในที่สุด สิ่งที่ตามมาคือการดูแลเหมือนคนสำคัญคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกอาหารการกิน เครื่องนุ่มห่ม ค่ารักษาพยาบาล อุปกรณ์เสริมการเลี้ยงดูต่าง ๆ คนก็ยอมลงทุนเพียงเพื่อให้สัตว์เลี้ยงของตนเกิดความสุขที่สุด
ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์เลี้ยงต่อตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ภาระค่าใช้จ่ายของสัตว์เลี้ยงหนึ่งชีวิตต่อปี เคยมีการประมาณการว่าอาจสูงถึงสี่หมื่นบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักมาจากค่ารักษาพยาบาลและเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น เช่น น้อง ๆ ป่วย หรือต้องฉีดวัคซีนที่จำเป็นตามระยะเวลา ตลอดจนได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่เจ้าของไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีมูลค่าอยู่ที่ราว 50,000 ล้านบาท กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อทุกบ้านต่างก็มีสัตว์เลี้ยงประจำ โดยในจำนวนนี้คิดเป็นการเติบโตจากค่าบริการรักษาสัตว์จำนวนไม่น้อย
เมื่อค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาลกลายเป็นภาระหนักที่เจ้าของไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ต่างจากคนที่ต้องหาเครื่องมือทุ่นแรงไว้รองรับเหตุไม่คาดฝัน จึงทำประกันภัยต่าง ๆ ไว้ช่วยผ่อนแรง กับสัตว์เลี้ยงก็เช่นกัน
ด้วยเทรนด์สัตว์เลี้ยงที่มาแรง บริษัทประกันจึงเล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจในขาใหม่คือ “ประกันภัยสัตว์เลี้ยง” ที่จะคอยดูแลสัตว์เลี้ยงเหมือนการดูแลคนทุกประการ หนึ่งในนั้น คือ ทิพยประกันภัย
ณัฐพล อังควานิช ผู้อำนวยการฝ่าย พัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เล่าบนเวทีสัมมนา “MarketeerTALK” EP. “Pet economy Insight & Trends” ว่า การประกันภัยในยุคใหม่ไม่ได้มองแค่เรื่องทรัพย์สินเหมือนที่ผ่านมาแล้ว แต่ไปมุ่งเน้นในสิ่งที่ตัวผู้เอาประกันชื่นชอบหรือรักต่อสิ่งนั้น ๆ จากเดิมที่การทำประกันคนมักจะพิจารณาถึงทรัพย์สินใกล้ตัวก่อน เริ่มที่ประกันภัยรถยนต์ ส่วนต่อมาคือประกันภัยบ้าน และถึงมองหาประกันสุขภาพ

ช่วงก่อนหน้าโควิดที่ผ่านมา 2-3 ปีก่อน บริษัทได้มุ่งเน้นในเรื่องประกันภัย ที่เปลี่ยนจากประกันภัยการคุ้มครองแบบเดิมมามุ่งเน้นที่ไลฟ์สไตล์โปรดักส์มากขึ้น อย่างเช่น ประกันภัยชั้นหนึ่งสำหรับผู้หญิง ประกันจักรยาน ประกันเซิร์ฟสเกต ตลอดจนทิพยประกันภัยสำหรับ Pet lover ขึ้นมา เป็นประกันตัวหนึ่งที่บริษัทหมายมั่นเจาะกลุ่มคนรักสัตว์
ในตลาดสัตว์เลี้ยง 50,000 ล้านบาท ประกันภัยสัตว์เลี้ยงยังจัดอยู่ในเซกเมนต์ของ Pet Service
ขณะนี้ตลาดประกันภัยสัตว์เลี้ยงมีผู้เล่นอยู่ 3-4 รายชื่อ เฉพาะตลาดประกันภัยสัตว์เลี้ยงคาดว่าจะอยู่ที่ราว 100-200 ล้านบาท อาจจะยังไม่มากถ้าเทียบกับตลาด Pet Value ทั้งหมด ยังสามารถเติบโตไปได้อีกมาก

ในปีที่ผ่านมาประกันภัยสัตว์เลี้ยงของทิพยประกันภัยเติบโต 140% ซึ่งคาดว่าจะสามารถรักษาการเติบโตสามดิจิตเช่นนี้ไปได้อีก จากเทรนด์ในช่วงโควิดที่ผ่านมา เพราะช่วงกักตัวคนหันไปเสพเรื่องราวของน้อน (สัตว์น่ารัก ๆ) จึงทำให้ตลาดนี้เติบโตอย่างมาก ประกอบกับมีกระทู้ไวรัลที่แชร์ความน่ารักของการสมัครประกันภัยน้อน ที่ต้องถ่ายรูปเหมือนติดบัตรสมัครงาน พอเป็นสัตว์เลี้ยงทุกอย่างดูละมุนไปหมด ทำให้ทิพยประกันภัยสำหรับสัตว์เลี้ยงเริ่มเป็นที่รู้จักนับจากนั้น

แต่การตระหนักรู้เรื่องประกันภัยสัตว์เลี้ยงยังมีน้อยมาก แต่คนก็เป็นกังวลเรื่องสุขภาพสัตว์เลี้ยงอยู่ตลอด เพราะการรักษาพยาบาลสัตว์เลี้ยงครั้งหนึ่งค่าใช้จ่ายมากกว่าคนหลายเท่า แต่คนยังไม่เข้าใจเรื่องประกันที่สามารถทุ่นแรงค่าใช้จ่ายได้ เพราะยังมองว่าประกันเป็นเรื่องไกลตัว จ่ายเงินแล้วสูญเปล่า จึงยังไม่ได้ให้ความสนใจกับการมองหาประกัน
“คนมองว่าประกันเป็นเรื่องไกลตัว เราจะทำเฉพาะประกันกับสิ่งใกล้ตัว เพราะมองว่าจ่ายเงินแล้วสูญเปล่า แต่ Pain Point ของคนคือเหตุไม่คาดฝัน” ณัฐพล กล่าว

บริษัทจึงต้อง Educated คนด้วยการเริ่มให้ข้อมูลว่าประกันภัยไม่ใช่สิ่งไกลตัว การมีไว้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายอย่างไรเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ทิพยประกันภัยจึงหยิบ Pain Point เรื่องเหตุไม่คาดฝันและค่าใช้จ่ายอันหนักอึ้งที่จะตามมา ด้วยคอนเซ็ปต์ ถ้ารักใครไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือสัตว์เลี้ยง ถ้าอยากให้เขาอยู่กับคุณนานที่สุด ต้องมีประกันเพื่อการคุ้มครองไว้
ซึ่งทิพยประกันภัยมีประกันที่ตอบโจทย์ ด้วยราคาเริ่มต้น 600 บาท แต่คุ้มครองหลักหมื่นบาท ความคุ้มครองเริ่มตั้งแต่การรักษาพยาบาล การทำลายข้าวของ หรือบุคคลอื่น ค่าใช้จ่ายในการจัดพิธีเมื่อน้อง ๆ เสียชีวิต

โดยสัดส่วนของผู้ที่มาทำประกันภัย 70-80% ทำประกันให้กับน้องหมา แต่อีกไม่นานประกันน้องแมวจะเพิ่มสัดส่วนขึ้นมาเท่ากันอย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งที่ส่งเคลมมากที่สุดยังเป็นเรื่องสุขภาพเป็นหลัก
กลุ่มเป้าหมายของผู้ทำประกันภัยสัตว์เลี้ยง คือ กลุ่มวัยสร้างครอบครัว อายุ 35 ปี แต่ยังไม่มีลูก จะนิยมนำสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงดูก่อน กับลูกค้าอีกกลุ่ม คือ ผู้สูงวัย 50-60 ปี ที่จะเลี้ยงสัตว์ไว้คลายความเหงาเป็นเพื่อนอยู่บ้าน โดยที่ลูกเป็นคนซื้อมาให้เลี้ยง

ในอนาคตจะขยายไปในการทำประกันสำหรับสัตว์ Exotic ซึ่งเริ่มเห็นเทรนด์มาตั้งแต่ช่วงสองสามปีก่อน แต่กำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา
แม้เป็นประกันสัตว์เลี้ยงแต่การแข่งขันในตลาดนี้คล้ายกับประกันสุขภาพของคน ความคุ้มครอง การเบิก เคลมง่าย สำรองจ่าย ลดขั้นตอนยุ่งยากเมื่อต้องไปรักษาพยาบาล แต่ความท้าทายของประกันภัยสัตว์เลี้ยง มีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอายุ เนื่องจากสัตว์เลี้ยงยิ่งอายุมากความเสี่ยงโรคแทรกซ้อน ปัญหาสุขภาพมีเยอะไม่ต่างจากคน ค่าใช้จ่ายก็มีมากตามอายุที่เพิ่มขึ้น โดยปกติประกันภัยสัตว์เลี้ยงจะมีมาตรฐานการคุ้มครองอยู่ที่ 3 เดือน – 7 ปี เป็นหลัก

กล่าวโดยสรุป กระแสการดูแลสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การดูแลสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คนใส่ใจกับการดูแลชีวิตของน้อง ๆ มากขึ้น แม้ต้องแลกกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามมาอย่างมหาศาลก็ตาม ยิ่งเมื่อสัตว์เลี้ยงอายุมากขึ้นความเสี่ยงของสุขภาพก็ตามมา คนก็มองหา ประกันภัยสัตว์เลี้ยง ความคุ้มครองที่จะมาดูแลเจ้านายของพวกเขาให้ดีที่สุด ยอมจ่ายแบบไม่คิดมาก
ตลาดสัตว์เลี้ยงจึงมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไปได้อีกมาก ที่สามารถรองรับมูลค่าที่ขยายตัวนี้ได้ เช่น กลุ่มโรงแรมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง ธุรกิจรับฝึกสัตว์เลี้ยงให้กลายเป็น Petfluencer
รวมถึงธุรกิจเกี่ยวกับบริการรักษาสัตว์ที่อาจมีการขยายขอบเขตบริการ Veterinary Telemedicine หรือ Virtual Vet ที่อาจเข้ามาตอบโจทย์กรณีเจ็บป่วยเล็กน้อยที่เจ้าของอาจไม่สะดวกเดินทางพาสัตว์เลี้ยงเข้ารับการรักษา เป็นต้น
–
