นับตั้งแต่ Alpha Go ซึ่งเป็นระบบ AI ที่พัฒนาโดยแผนก Deep Mind AI ของ Google เอาชนะเซียนโกะมือหนึ่งของโลกได้เมื่อปี 2016 และตอกย้ำชัยชนะเหนือมนุษย์อีกครั้งด้วยการเอาชนะทีมแชมป์โลกเกม Dota2 เมื่อไม่นานมานี้

ปี 2019 เป็นปีที่เรามักได้ยินคำพูดที่ว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI (Artificial Intelligence) อยู่บ่อยๆ ซึ่งคำพูดนี้น่าจะได้ฟังบ่อยขึ้นอีกในปีหน้า เพราะจะเห็นว่า AI ได้รุกเข้าสู่หลากหลายอุตสาหกรรม ไม่เว้นแม้แต่พรมแดนที่มนุษย์เราเชื่อว่า AI จะเข้ามาแทนที่ไม่ได้ อย่างวงการที่ใช้ Creativity เป็นวัตถุดิบหลัก…

10 ผลงานด้านครีเอทีฟที่ AI รังสรรค์ในช่วง 3 ปีนี้

 

1. น้ำหอม 2 กลิ่นใหม่ โดย AI ซึ่งแบรนด์ O Boticário จากบราซิลจับมือกับ IMB ร่วมกันพัฒนาขึ้น เพื่อออกแบบน้ำหอมกลิ่นที่ตอบโจทย์ชาวบราซิลยุคมิลเลนเนียล ในชื่อ Egeo ON Me และ Egeo ON Me โดยให้ AI เรียนรู้ข้อมูลจาก Symrise ผู้ผลิตน้ำหอมรายใหญ่ของโลก ซึ่งมีสูตรน้ำหอมกว่า 1.7 ล้านสูตร รวมทั้งข้อมูลทางด้านยอดขาย เพื่อประมวลผลเปรียบเทียบกลิ่นที่ขายดีที่สุดสำหรับแต่ละกลุ่มอายุ เพศ ไปถึงแต่ละภูมิประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลพัฒนากลิ่นให้ตรงตามความชอบของกลุ่มเป้าหมาย

2. Pretzel รส Chocolate Calamansi (รสช็อกโกแลตผสมส้มจี๊ดหรือมะนาวของฟิลิปปินส์) ของแบรนด์ Toppo ซึ่งบริษัท Lotte ประเทศญี่ปุ่นได้ว่าจ้างให้บริษัทด้าน AI ให้ออกแบบ​รสชาติแปลกใหม่เพื่อเอาใจลูกค้าญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ในอนาคตอันใกล้ยังจะมีเครื่องปรุงอาหารรสชาติใหม่ที่ออกแบบโดย AI ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่าง IBM กับ McCormick บริษัทอาหารผู้ผลิตเครื่องเทศ สมุนไพร และเครื่องปรุงรายใหญ่ของโลก ที่นำเอาข้อมูลเรื่องรสชาติอาหารที่ผู้บริโภคชื่นชอบที่สะสมมานานกว่า 40 ปี มาป้อนให้ AI เรียนรู้ และสร้างสรรค์รสชาติใหม่

3. วิสกี้สูตรใหม่ คิดค้นโดย AI ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Microsoft, Fourkind (บริษัทเทคโนโลยีจากฟินแลนด์) และ Mackmyra Whisky โรงกลั่นชื่อดังจากสวีเดน โดย AI เรียนรู้และวิเคราะห์สูตรวิสกี้ที่มีกว่า 70 ล้านสูตร เทียบกับข้อมูลด้านยอดขาย และความชอบของลูกค้า แล้วพัฒนามาเป็น Mackmyra AI 01: Intelligens

ขณะที่วงการเบียร์ก็เริ่มนำ AI มาออกแบบรสชาติและพัฒนาสูตรกันบ้างแล้ว

4. หนังโฆษณารถยนต์ Lexus รุ่น ES300h ชุด Drive by Intuition ความยาว 60 วินาที เขียนบทโดย AI ชื่อ IBM Watson โดย Lexus ได้นำข้อมูลโฆษณาที่บริษัทเคยผลิตและได้รางวัลตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ประมวลผลร่วมกับผลวิจัยทางจิตวิทยาที่ทดสอบกับกลุ่มผู้ชมป้อนให้ AI ซึ่งโฆษณามีการนำเสนอครบทั้งเรื่องความสามารถของรถและความปลอดภัยผสานกับเรื่องราวความรักของครอบครัวได้อย่างลงตัว​

5. บทกวีแสดงความรู้สึกถึงผู้รับ แต่งโดย AI ชื่อ V*AI*lentine ซึ่งผ่านการเรียนรู้และวิเคราะห์สไตล์ การใช้ภาษา ฉันทลักษณ์ และจังหวะท่วงทำนองในโคลงซอนเน็ต (sonnet) จาก 154 บทโคลงของวิลเลียม เชกสเปียร์ นักกวีและนักเขียนบทละครระดับโลก จากนั้นทีมงานให้ผู้ใช้งานใส่ข้อมูลส่วนตัวของผู้ที่เราต้องการส่งบทกวีให้ แล้วระบบจะดึงคำที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลและความรู้สึกที่ต้องการสื่อไป นำไปใส่ในอัลกอริทึ่มเพื่อสร้างสรรค์บทกวีที่น่าประทับใจทั้งเชิงความหมายและความไพเราะ

6. เรื่องสยองขวัญและเรื่องผี แต่งโดย AI ชื่อ Shelley ซึ่งผ่านการป้อนเรื่องสยองขวัญกว่า 1 แสนเรื่องจากเว็บบอร์ด reddit ที่ผู้คนเข้ามาบอกเล่าหรือแต่งเรื่องชวนขนหัวลุก เพื่อให้ Shelley ประมวลผลว่าเรื่องที่ได้รับความนิยมสูงนั้นมีองค์ประกอบในความน่ากลัวอย่างไร จากนั้น Shelley ก็แต่งเรื่องเขย่าขวัญด้วยตัวเอง

นอกจากนี้ ยังมีนิทานเรื่อง ‘Lost Grimm Fairy Tale’ ที่แต่งโดย AI ที่ผ่านการเรียนรู้นิทานของพี่น้องตระกูลกริมม์ ซึ่งนิทานเรื่องนี้ขายผ่านแอป Calm

7. คลิปการ์ตูน Flinstone ตอนใหม่ในรอบ 50 ปี ออกแบบภาพเคลื่อนไหวโดย AI ที่ชื่อ CRAFT ซึ่งถูกป้อนด้วยคลิป 75 เฟรม (ความยาว 3 วินาที) จำนวนกว่า 25,000 คลิป ซึ่งแต่ละคลิปจะมีคำอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นและมีใครอยู่ในฉากนั้น จากนั้น AI จะสร้างสรรค์ฉากใหม่ตามคำบรรยายที่ได้มา โดยแยกเอาการ์ตูนและฉากจากคลิปต่างๆ มาร้อยเรียงเป็นฉากใหม่ อย่างไรก็ดี คลิปที่ออกมายังสั้นมาก ทำให้นักวิจัยมองว่ายังต้องพัฒนาอีกนานกว่า CRAFT จะสร้างการ์ตูนแอนิเมชั่นได้ทั้งเรื่อง

แต่นี่ก็ทำให้เห็นว่ายุคหน้าเราไม่จำเป็นต้องรู้เทคนิคแอนิเมชั่น ไม่ต้องวาดภาพเก่ง และไม่ต้องเจ๋งกราฟิกดีไซน์ก็ทำการ์ตูนแอนิเมชั่นได้ เพียงแค่มีจินตการและเขียนคำบรรยายได้

8. อัลบั้ม Auxuman Vol.1 จากการรวมตัวของ 5 ศิลปินที่ล้วนเป็น AI พัฒนาโดยบริษัท Auxuman ด้วยการป้อนข้อมูลด้านภาษาผ่านบทกวี และงานศิลปะรูปแบบต่างๆ รวมถึงแนวเพลงต่างๆ ให้ AI เรียนรู้ร่วมกับการพัฒนาระบบเสียงเพื่อให้ AI ร้องเพลงได้ จนได้ 10 เพลงในอัลบั้มนี้ที่ไม่มีมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย

ก่อนหน้านี้เคยมี AI ชื่อ Amper ทำหน้าที่เรียบเรียงดนตรี โดยที่มนุษย์เป็นผู้ร้องเพลงและแต่งเนื้อร้อง และมีเพลงที่เกิดการประพันธ์เพลงและทำดนตรีร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI

ย้อนไปปี 2016 โลกเคยมีอัลบั้มเพลงคลาสสิกชื่อ Genesis ที่แต่งโดย AI ชื่อ Aiva ซึ่งผ่านการเรียนรู้ทฤษฎีดนตรีผ่านข้อมูลดนตรีจำนวนมากของ Mozart และ Beethoven แล้วประพันธ์เพลงขึ้นเอง ซึ่งนักดนตรีหลายคนฟังแล้วยังแยกไม่ออกว่ามนุษย์หรือ AI เป็นผู้ประพันธ์

9. Copywriting หรือคำโฆษณาโดนๆ สร้างสรรค์โดย AI ซึ่งไม่นานมานี้ JPMorgan Chase ได้เซ็นสัญญาระยะเวลา 5 ปีกับสตาร์ทอัพชื่อ Persado ผู้พัฒนา AI สำหรับคิดก๊อบปี้การตลาด หลังจากลองทดสอบแล้วพบว่า ก๊อบปี้ที่ AI คิดมียอดคลิกสูงกว่าก๊อบปี้ที่มนุษย์คิด (บางกรณีสูงกว่ากันมากกว่า 2 เท่า)

ปีก่อน Alibaba ก็ได้ออกมาประกาศว่าได้ใช้ AI เขียนคำโฆษณาสินค้าต่างๆ เอง เพื่อช่วยให้ผู้ขายทำงานได้ง่ายขึ้น เพียงแค่ลงลิงก์สินค้าแล้วกด ‘Produce Smart Copy’ แล้ว AI จะแต่งคำโฆษณาออกมาหลายแบบให้เลือกใช้หรือนำไปดัดแปลง โดย AI สามารถสร้างประโยคได้มากกว่า 20,000 ประโยค/วินาที

หรือไม่นานมานี้ บริษัท R/GA London ได้ให้ AI ออกแบบก๊อบปี้เป็นคำทักทาย (Greetings) สำหรับเทศกาลต่างๆ โดยบริษัทได้ให้ AI เรียนรู้คำทักทาย คำพูดฮิตในแต่ละเทศกาล รวมถึงเพลงเฉลิมฉลองของเทศกาลต่างๆ ซึ่งคำที่ AI ออกแบบมีทั้งคำที่สนุก คำที่ขบขัน ไปจนถึงคำไร้สาระแต่สะท้อนคาแรกเตอร์ของเทศกาลได้ดี โดยศิลปินที่เป็นมนุษย์จะมาวาดภาพประกอบที่สอดคล้องกับก๊อบปี้เหล่านั้น

10. ภาพวาด Portrait ชื่อ Edmond de Belamy ซึ่งถูกประมูลด้วยราคากว่า 14 ล้านบาท (กว่า 4.3 แสนเหรียญสหรัฐ) มี AI เป็นผู้รังสรรค์ผลงาน โดยกลุ่มนักสะสมศิลปะชื่อ ‘Obvious’ ได้ให้ AI เรียนรู้และวิเคราะห์ภาพวาดจำนวน 15,000 รูป ที่มีอายุในช่วงศตวรรษที่ 14-20 จนเข้าใจกฎของรูป แล้วสร้างรูปใหม่ จนออกมาเป็นชุด ‘La Famille Belamy’ ซึ่งมีสมาชิก 11 คน โดย Edmond de Belamy เป็นภาพวาดโดย AI ภาพแรกที่สำนักประมูลรายใหญ่อย่าง Christie’s นำไปประมูล

ไม่นานมานี้ มหาวิทยาลัย Oxford ร่วมกับเจ้าของห้องแสดงภาพชาวอังกฤษพัฒนา Ai-Da หุ่นยนต์ AI ตัวแรกของโลกที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้สวยงามใกล้เคียงมนุษย์ แถมมีนิทรรศการศิลปะของตัวเอง 

สุดท้ายนี้ บทความนี้ไม่ได้อยากทำให้มนุษย์ยอมแพ้หรือถอดใจ แต่อยากชวนทุกคนลุกขึ้นมากระตุกต่อมสร้างสรรค์และพลังในตัว เพื่อเรียนรู้ (เหมือนอย่างที่ AI เรียนรู้จากเรา) ที่จะทำงานร่วมกับ AI และใช้ AI ทำงานที่เราไม่ถนัด เพื่อที่เราจะได้โฟกัสกับงานที่ถนัดกว่าเพื่อพัฒนาทักษะให้เก่งขึ้น

ดีไซเนอร์หลายคนยอมรับว่า การทำงานร่วมกับ AI ช่วยเปิดโลกทัศน์ด้านครีเอทีฟ และช่วยขยายพรมแดนความเป็นไปได้ของงานครีเอทีฟใหม่ๆ ให้กว้างขึ้น (Open up new creative possibilities)

และนี่คือบทสรุปว่า มนุษย์กับ AI อยู่ร่วมกันได้!!!

ที่มา: Trendhunter, Marketeer รวบรวม


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer