สถานการณ์ ตลาดทีวี ในปีที่ผ่านมา สร้างความวิตกให้กับเหล่าผู้เล่นอยู่ไม่น้อย เพราะข้อมูลจาก GFK ระบุว่า ในแง่ของมูลค่าติดลบ 2.3% ส่วนในแง่ของจำนวนก็ไม่น้อยหน้าติดลบ 3.6% เช่นเดียวกัน

 

ตลาดทีวี หลากหลายปัจจัยรุมเร้า

สิ่งที่เกิดขึ้นมีต้นเหตุมาจากหลากหลายปัจจัยด้วยกัน ไล่มาตั้งแต่กำลังซื้อผู้บริโภคในกลุ่มรากหญ้า ยังคงมีปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้มักจะซื้อสินค้าที่มาราคาต่ำกว่า 15,000 บาท

เมื่อดูจากข้อมูลของ GFK ก็จะพบว่ากลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนของครึ่งหนึ่งใน ตลาดทีวี เลยทีเดียว แน่นอนเมื่อมีปัญหาย่อนสะเทือนไปทั้งตลาด

ขณะเดียวกันแม้ผู้บริโภคกลุ่มกลางบน จะมีกำลังซื้อที่ไม่ได้กังวลต่อภาวะศรษฐกิจ แต่วันนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป จากที่เคยซื้อทีวีธรรมดาก็หันมาซื้อทีวีที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น

รวมถึงยังนิยมซื้อสมาร์ททีวีอีกด้วย ซึ่งพอแบรนด์ต่างๆ เห็นความต้องการที่สูงขึ้น ก็แห่กันจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถมกันยกใหญ่ โดยเฉพาะในรุ่น 4K ที่หลายแบรนด์พยายามปั้น ราคาจึงลงค่อนข้างเร็ว

ยกตัวอย่างเช่น รุ่น 55 นิ้ว เคยมีราคาอยู่ที่ 21,000 – 22,000 บาทต่อเครื่อง ก็ราคาจะลดลงมาเหลือ 17,000 – 18,000 บาทต่อเครื่อง นี่ทำให้ภาพรวมราคาที่เคยเฉลี่ยต่อเครื่องในปี 2016 ซึ่งอยู่ที่ 11,246 บาท หล่นมาเหลือ 11,095 บาท

อีกทั้งปี 2017 ก็ยังไม่มีอีเวนต์การแข่งขันใหญ่ ที่มีพลังเพียงพอที่จะดึงดูดให้ผู้บริโภค หันมาเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่ จึงไม่ต้องสงสัยเลยหากตลาดจะติดตัวแดงทั้งมูลค่าและจำนวน

ตลาดทีวี

ฟุตบอลโลก 2018” จุดกระแสให้ ตลาดทีวี

แตกต่างจากปี 2018 ที่ตลาดทีวีถูกประเมินว่าจะกลับมาเติบโต ทั้งในแง่ของมูลค่า 3.0% และ แง่ของจำนวน 2.8% โดยมีอีเวนต์ใหญ่ที่ชื่อว่าฟุตบอล 2018” มาเป็นปัจจัยหลักที่จะรั้งตลาดให้ดีขึ้น

โดยปรกติในช่วงฟุตบอลโลก ยอดขายของทีวีจะเติบโตราว 20 – 30% อยู่แล้ว ซึ่งปีนี้ก็คาดว่าจะโตเหมือนเดิม เพราะทุกแบรนด์พยายามทำโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม

โดยเฉพาะราคาที่จะคาดว่า จะลงเฉลี่ย 5 – 15% แล้วแต่รุ่น ถ้าเป็นรุ่นที่เก่าหน่อยก็อาจลดได้มากถึง 30% เพื่อกระตุ้นยอดขายที่ค่อยข้างซบเซาในปีที่ผ่านมาฉันท์ชาย พันธุฟัก ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไฮเซ่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เชื่อว่าตลาดทีวีจะดีขึ้นเพราะฟุตบอลโลก

แน่นอน! ไม่ใช่แค่ภาพรวมของตลาดเท่านั้น ที่หวังพึ่งพลังของฟุตบอลโลก มากอบกู้สถานการณ์ไฮเซ่นส์แบรนด์น้องใหม่สัญชาติจีน ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดไทยได้เพียง 2 ปีก็หวังเช่นเดียวกัน

 

ไฮเซ่นส์ก็หวังบอลโลกมาช่วย

นั่นเป็นเพราะยอดขาย 40% ของทั้งปีถูกคาดว่าจะเกิดขึ้น ในช่วงการเตะฟุตบอลโลกที่กินระยะเวลา 1 เดือน

ไฮเซ่นส์จึงอาศัยกระแสในช่วงเวลานี้ เปิดตัวทีวีพร้อมกันถึง 7 รุ่น ได้แก่ 4K Laser TV ขนาด 100 นิ้ว วางจำหน่ายในราคา 399,990 บาท ซึ่ง ฉันท์ชาย บอกว่า เมื่อเทียบกับแบรนด์คู่แข่งที่เปิดตัวในราคา 600,000 -1,000,000 บาท ไฮเซ่นส์ สามารถทำราคาได้ถูกกว่าประมาณ 30%

นอกจากนี้ยังอีก ULED TV 2 รุ่น เป็น World Cup Special Edition มีขนาด 65 นิ้ว ราคา 42,990 บาท ,55 นิ้ว ราคา 27,990 บาท UHD TV อีก 4 รุ่น ขนาด 43 – 65 นิ้ว ราคา 16,990 – 33,990 บาท

“กระแสบอลโลกจะทำให้ผู้บริโภคต้องการทีวีเครื่องใหม่ และมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นสมาร์ททีวีและ UHD TV หรือ 4K ที่คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้”

“ดังนั้นไฮเซ่นส์จึงจะเน้นโฟกัสที่ตลาด สมาร์ททีวีและ 4K เป็นหลัก ฉะนั้นใน Line up ของสินค้าก็จะไม่มีทีวีธรรมดาเลย ต่ำสุดจึงเป็นสมาร์ทีวีทีที่มีขนาด 43 นิ้ว”

ตลาดทีวี

จุดอ่อนที่ไฮเซ่นส์ต้องเร่งกำจัด

แต่อย่างไรถึงจะมองว่ากระแสที่กำลังจะเกิดขึ้น จะเป็นผลดีสำหรับตัวไฮเซ่นส์ แต่ทั้งนี้ไฮเซ่นส์ยังมีจุดอ่อนหลายข้อที่ต้องขบคิด

นั้นเพราะถึงจะเข้าตลาดมาได้ 2 ปีแล้ว แต่ปี 2017 ที่ผ่านมา ไฮเซ่นส์ก็ยังมียอดขายอยู่ที่ราว 200 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งตลาดทั้งมูลค่าและจำนวนอยู่ที่ 0.5% เท่านั้น

ยอดขายที่เกิดขึ้นมาจากช่องทางเดียวคือเทสโก้ โลตัส เหตุมีช่องทางน้อย เพราะไฮเซ่นส์มองว่าไม่อยากเติบโตอย่างรวดเร็ว หากต้องการแบบมั่นคงและถาวรมากกว่า

นั้นเป็นเหตุผลที่ไฮเซ่นส์เลือกเข้าช่องทางหลักๆก่อน ซึ่งถือว่าสำคัญในตลาดเมืองไทยอย่างโมเดิร์นเทรด จึงเริ่มที่เทสโก้ โลตัสก่อน เพราะมีส่วนแบ่งในตลาดค่อนข้างเยอะ

ด้วยเหตุนี้ช่องการจัดจำหน่ายจึงเป็นจุดอ่อนแรก ที่ไฮเซ่นส์ต้องเร่งกำจัด ในปีนี้จึงได้ขยายเข้าไปยังจึงเพาเวอร์บาย เพราะว่าสามารถรองรับกับสินค้าพรีเมี่ยมได้มากขึ้น ซึ่งเหมาะสมกับสินค้าที่กำลังจะนำเข้าสู่ตลาด

โดยในระยะแรกจะขยายก่อน 25 สาขา และวางแผนขยายให้ครบภายในสิ้นปี นอกจากนี้ยังได้มองที่จะเข้าไปยังเชนอื่น อีก 1 – 2 เชน ซึ่งหากสามารถขยายในช่องทางโมเดิร์นเทรดได้ครบแล้ว จึงจะขยายไปยังเทรดดิชั่นอลเทรด

ตลาดทีวี

พลังของแบรนด์ที่ยังห่างชั้น

ขณะเดียวกันอีกโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ คือ “Power of Branding” เพราะต้องยอมรับว่าเมื่อแปะป้ายเป็นแบรนด์ที่มาจากจีน ภาพจำที่อยู่ในหัวของผู้บริโภคชาวไทย ยังอยู่ในจุดที่ไม่ค่อยดีนัก เมื่อเทียบกับแบรนด์เกาหลีหรือแบรนด์ญี่ปุ่น พลังของแบรนด์จึงห่ายไกลกันพอสมควร

ภายใต้งบการตลาด 5% ที่จะใช้ในปีนี้ สิ่งที่ต้องทำให้รับรู้ให้ได้คือแบรนด์ไฮเซ่นส์ไม่ใช่ Local Brands ของจีนอย่างเดียว หากเป็น Global Brands เพราะมีการทำตลาดอยู่ทั่วโลก แต่ทำอย่างไรให้ผู้บริโภครู้จักนั่นเป็นโจทย์ที่ ไฮเซ่นส์ ต้องแก้

เรื่องของภาพลักษณ์นั้นสำนักงานใหญ่ในจีนก็รู้ดีอยู่เต็มอก และด้วยความเป็นแบรนด์จีน ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเล่นใหญ่ การจะสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก ก็ต้องเล่นให้สมชื่อ

ไฮเซ่นส์จึงเลือกเป็นสปอนเซอร์ให้กับอีเวนต์ใหญ่ ระดับโลกหลายรายการ ทั้ง ฟุตบอลยูโร 2016,ออสเตเรียโอเฟ่น, ทีมฟอร์มูล่าวัน เรดบลู, ทีมฟุตบอล ชาลเก้ 04 ในเยอรมัน รวมไปถึงฟุตบอลโลก 2018 ด้วย

ในการถ่ายทอดบอลโลกปีนี้ ก็จะเห็นโลโก้ของไฮเซ่นส์ ติดอยู่ข้างสนามในการแข่งขันทุกแมทซ์ นั่นคือเรื่องของการทำการตลาดให้ผู้บริโภครับรู้ถึงแบรนด์ ไฮเซ่นส์

ขณะเดียวกันไฮเซ่นส์ก็เลือกสร้างความมั่นใจด้วยประกัน 3 ปี โดยบอกว่าถ้ามีปัญหาเพียงโทรเข้ามา ก็จะเข้าไปซ่อมถึงบ้าน

ทั้งหมดนี้ไฮเซ่นส์หวังว่าจะทำให้รายได้ในปี 2018 เติบโตขึ้นมาเป็น 500 ล้านบาท พร้อมกับมีส่วนแบ่งตลาดทั้งมูลค่าและจำนวน 2%

โดยยังตั้งเป้าอีกว่าภายใน 3 ปีจะติด Top 3 ของตลาดด้วยส่วนแบ่ง 10 – 15%

 

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online