แม้ที่ตั้งประเทศอยู่ห่างกัน และประชากรไม่ได้มากมายอะไร แต่เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล และสิงคโปร์ ก็มีสิ่งหนึ่งให้ภาคภูมิใจในระดับโลก เพราะต่างก็เป็นประเทศที่ไม่ปล่อยให้ข้อจำกัดมาปิดกั้นความเจริญ

เนเธอร์แลนด์ คือ ประเทศชั้นนำด้านเขื่อนและระบบชลประทาน ทั้งที่ภูมิประเทศตั้งอยู่ระดับน้ำทะเลและน้ำท่วมบ่อย พร้อมกันนี้ยังเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมชิปอีกด้วย 

ส่วนอิสราเอล คือ ประเทศที่วิทยาการด้านการเกษตรก้าวหน้าจนสามารถปลูกพืชต้องการน้ำมากอย่างมะเขือเทศได้ ทั้งที่อยู่ในภูมิประเทศแห้งแล้ง

ด้านสิงคโปร์ คือ ประเทศพัฒนาแล้วหนึ่งเดียวในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งที่อดีตเป็นทั้งเมืองขึ้น ส่วนหนึ่งของมาเลเซีย และมีประชากรอยู่เพียงราว 6 ล้านคน   

หนึ่งในหลักฐานยืนยันถึงความเจริญก้าวหน้าของสิงคโปร์ คือ ระบบขนส่งมวลชนที่สะดวก ทั่วถึง และครอบคลุม ช่วยให้ประชากรในประเทศสัญจรไปมาได้โดยสะดวก ขณะที่นักท่องเที่ยวก็เอ่ยปากชมและอยากให้ประเทศตัวเองพัฒนาได้แบบนี้บ้าง

ทว่า ความเจริญก้าวหน้าเหล่านี้มีราคาที่ต้องจ่าย และจ่ายแพงเสียด้วย โดยสิงคโปร์เป็นประเทศที่ค่าครองชีพสูงอันดับต้น ๆ ของโลกมานานแล้ว 

เมื่อปี 2022 สิงคโปร์คือเมืองที่ค่าครองชีพสูงสุดอันดับ 1 ร่วมกับนิวยอร์ก เมืองดังของสหรัฐฯ แต่ประเทศขนาดเท่าเมืองแห่งนี้หรือนครรัฐ ตามการเรียกแบบไทย และ City stage ตามการเรียกแบบอังกฤษ ที่ครองอันดับหนึ่งมานาน

เมื่อปี 2018 สิงคโปร์ คือ เมืองที่ราคารถแพงสุดในโลก โดยราคาเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 86,412 ดอลลาร์ (ราว 3.1 ล้านบาทตามค่าเงินปัจจุบัน) ทิ้งห่างโคเปนเฮเกน เมืองหลวงเดนมาร์ก เจ้าของอันดับ 2 ตัวเลข 44,062 ดอลลาร์ (ราว 1.6 ล้านบาท) แบบไม่เห็นฝุ่น

ปัจจุบันราคารถในสิงคโปร์ก็มีแต่จะยิ่งแพงขึ้น โดยปีนี้รถ 4 ประตูขนาดรถใหญ่ในสิงคโปร์ ราคา 106,000 ดอลลาร์ (ราว 3.8 ล้านบาท) แล้ว ซึ่งด้วยราคาขนาดนี้ สามารถซื้อรถ Toyota Camry ในสหรัฐฯ ได้ถึง 4 คันเลยทีเดียว  

ราคารถแพงระดับโลกในสิงคโปร์เป็นราคาเริ่มต้นที่รวมค่าใบอนุญาตขอครอบครองรถ (COE) ไปด้วย ซึ่งมีที่มาจากนโยบายเมื่อปี 1990 เพื่อควบคุมจำนวนรถบนท้องถนนไม่ให้เกิดปัญหาหนาแน่นเกินไปจนการจราจรติดขัด 

เงินจากการขอ COE ยังถูกนำมาใช้ในการขยาย บำรุง รักษา และพัฒนาถนน รวมไปถึงระบบขนส่งมวลชน ให้สะดวกและทั่วถึงแก่ประชากร ซึ่งนักท่องเที่ยวได้ใช้ด้วยจนเอ่ยปากชมกันอยู่เสมอเมื่อมาสิงคโปร์นั่นเอง  

กระทรวงคมนาคมสิงคโปร์จะนำ COE ออกมาประมูลทุก ๆ 2 สัปดาห์ แต่ด้วยที่เป็นเงินก้อนใหญ่ ถ้ารวมกับราคารถก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก

และท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงมากในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่เอื้ออำนวย ณ ปัจจุบัน การซื้อรถใหม่ป้ายแดงก็แทบจะเป็นสิ่งที่เกินเอื้อมสำหรับครอบครัวชนชั้นกลางชาวสิงคโปร์ ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ปีละ 88,900 ดอลลาร์ (ราว 3.2 ล้านบาท)

ดังนั้น การมีเงินสดสำหรับซื้อห้องในคอนโดฯ พร้อมรถใหม่ป้ายแดง ถือเป็นฝันแบบสิงคโปร์อันเกินเอื้อม สำหรับครอบครัวชนชั้นกลางส่วนใหญ่ และผู้ที่ทำแบบนี้ได้ คือ ระดับมหาเศรษฐีเท่านั้น ส่วนคนยากจน 10% ของประเทศหมดสิทธิ์ฝันถึงไปได้เลย

นโยบายดังกล่าวยังส่งผลสืบเนื่องตามมา โดยครอบครัวชนชั้นกลางส่วนใหญ่จึงคิดแค่ขอว่ามีชีวิตแบบพอดี ๆ ไม่ใช่ดีเลิศหรู และหากซื้อรถก็เน้นชื่อเฉพาะรถมือสองที่ราคาถูกลงมาพอสมควร ใช้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น เช่นไปรับส่งลูกที่ยังเล็ก จำเป็นต้องไปกันทั้งครอบครัว

หากไประยะไม่ไกลมากและไปคนเดียวก็ใช้ระบบขนส่งมวลชนแทน ส่วนถ้าจำเป็นและลูก ๆ โต ก็ขายรถพร้อม COE ไปเพื่อเอาเงินสดมาใช้

ด้านรัฐบาลสิงคโปร์ยืนยันจะใช้นโยบายนี้ต่อ และนำเงินจาก COE มาบำรุงรักษา พัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ทันสมัยทั่วถึงครอบคลุม

ดังนั้น ปริมาณยวดยานพาหนะในประเทศจึงไม่มีทางหนาแน่นและติดขัด อันจะเป็นการช่วยลดปัญหามลพิษไปด้วย ท่ามกลาง ราคาสูงมากหากเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่น่าจะเป็นสถิติโลกต่อไป และลดลงเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤตโลก แบบตลอดช่วงสถานการณ์โควิดเท่านั้น

ด้านประชาชนส่วนใหญ่ก็รับได้ เนื่องจากระบบขนส่งมวลชนดี ทั่วถึงและเหมาะสมแล้วสำหรับประเทศขนาดเล็กนั่นเอง ขณะเดียวกันสิงคโปร์ยังเป็นประเทศที่ประชากรมีคุณภาพชีวิตดีมากระดับต้น ๆ ของโลก อีกด้วย/theguardain, bbc, wikipedia, carmart, cna


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer