เอสซีจี, สมาร์ทบอร์ด เอสซีจี และ DECAAR by SCG ผู้นำด้านหลังคา ฝาฝ้า ฉนวน และวัสดุก่อสร้าง มูลค่าตลาด 15,000 ลบ. มุ่งพัฒนาสินค้าภายใต้สัญลักษณ์ SCG Green Choice พร้อมเร่งเดินหน้าสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ
คุณอัญชลี ชวนะลิชิกร Head of Housing Product Solution Business ในธุรกิจ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง กล่าวว่า ที่ผ่านมาเอสซีจีได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิต สุขภาพของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเร่งพัฒนาสินค้าด้านหลังคา ฝาฝ้า ฉนวน และวัสดุก่อสร้าง ภายใต้แบรนด์ เอสซีจี, สมาร์ทบอร์ด เอสซีจี และ DECAAR by SCG
และบริการที่ช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพต่อผู้ใช้งาน ผู้อยู่อาศัย ตลอดจนผู้ติดตั้ง สินค้า ก่อนที่กฎหมายกำหนดบังคับใช้
อาทิ การใช้วัสดุศาสตร์ทดแทนการใช้แร่ใยหินในสินค้าทั้งหมด ทั้งในกลุ่มสินค้าหลังคา สมาร์ทบอร์ด ไม้สังเคราะห์ไฟเบอร์ซีเมนต์ โดยที่ยังคงคุณภาพ และราคาที่ผู้บริโภคจับต้องได้ เป็นต้น โดยเอสซีจียกเลิกการใช้แร่ใยหินในสินค้าทุกชนิดตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา
มูลค่าตลาดหลังคา ฝาฝ้า ฉนวน และวัสดุก่อสร้างในไทย 15,000 ล้านบาท เอสซีจีในฐานะผู้นำตลาด ได้ขยายตลาดสินค้ากลุ่มเพื่ออยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้สัญลักษณ์ SCG Green Choice ที่มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการ โดยปัจจุบันสินค้า Green Choice ของเอสซีจีมีสัดส่วนอยู่ที่ 70%
คุณอนุสรณ์ พจนบรรพต Chief Operation Officer ในธุรกิจ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง กล่าวว่า เอสซีจีได้พัฒนา และเริ่มใช้งานสีเคลือบชนิดพิเศษที่ลดส่วนประกอบของวัสดุที่มีเบสเป็นเรชิ่น ซึ่งนอกจากจะช่วยลด VOCs ที่เป็นสารอันตรายแล้วยังช่วยลดวัสดุตกค้างในสิ่งแวดล้อมอย่างไมโครพลาสติก ที่อาจส่งผลกระทบกลับมาที่ห่วงโช่อาหาร และมีผลต่อผู้บริโภค
โดยปัจจุบันมีการใช้สีพิเศษเพื่อลดการปล่อยไมโครพลาสติกในกลุ่มสินค้าหลังคาลอนคู่ เอสซีจี ทุกชนิด พร้อมตั้งเป้าขยายผลในกลุ่มไม้สังเคราะห์ เอสซีจี
ภายในปี 2567
สำหรับเป้าหมายการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการลดการปล่อยคาร์บอน จากการดำเนินการผลิตหลังคา ฝา ฝ้า ฉนวน และวัสดุก่อสร้าง เอสซีจี ด้วยการติดตั้งโซลาร์รูฟและโซลาร์ฟาร์ม เพื่อใช้ในโรงงานที่มีกว่า 22 แห่ง
อีกทั้งยังได้ลงทุนด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เพื่อทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ด้วยการใช้งบลงทุนช่วง 5 ปีหลังจากนี้ กว่า 1,200 ล้านบาท รวมทั้ง การเปลี่ยนวัตถุดิบซีเมนต์ที่เป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้เป็นปูนโครงสร้างคาร์บอนต่ำ หรือปูนไฮบริด เอสซีจี ทั้งหมด ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2567
โดยในปัจจุบันหลังคาคอนกรีต เอสซีจี สามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ถึง 140 Kg.CO2 หรือ 14% เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ จำนวน 15 ต้น ต่อการสร้างบ้านหนึ่งหลังที่ใช้หลังคาคอนกรีต เอสซีจี 120 ตารางเมตร และในอีก 5 ปี ข้างหน้า เอสซีจีเดินหน้าพัฒนาสินค้า และบริการตลอดทั้งกระบวนการ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้นเป็น 254 KG.CO2 หรือ 26% เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ จำนวน 27 ต้น เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีการผลิตหลังคาคอนกรีตในยุคแรก
ยิ่งไปกว่านั้น เอสซีจี ไม่เพียงมุ่งลดการปล่อยคาร์บอนจากตัววัสดุ แต่ยังมองไปถึงวัสดุที่ช่วยดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศได้อีก (Carbon Negative Product) รวมไปถึงแนวทางการพัฒนานวัตกรรมและการตลาดของหลังคา ฝ่าฝ้า ฉนวนและวัสดุก่อสร้าง เอสซีจี ด้วยนิยาม “Greenomy Innovation” โดยเริ่มจาก Green ผนวกเข้ากับ Economy ที่นอกจากการพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อสิงแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของห่วงโซ่ทีเกี่ยวข้องแล้ว
ยังผลักดันนวัตกรรมกรีนให้สามารถใกล้ชิดกับผู้บริโภคได้มากขึ้น เข้าถึงง่ายและกว้างขึ้น และยังสร้างประโยชน์โดยไม่จำกัดอยู่เฉพาะในตลาดพรีเมียมเท่านั้น
โดย เอสซีจี นำนวัตกรรมสินค้าและบริการเพื่อที่อยู่อาศัยมาจัดแสดงภายใต้แนวคิด “SCG Forward into Future Living: Sustaining Space and Technology” ในงานสถาปนิก’67 อีกด้วย
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ