กรดไหลย้อน เกิดจากอะไรครับคุณหมอ ? เป็นข้อที่มีคนสงสัยกันเยอะมากๆ ว่ามันคืออะไร? เป็นได้อย่างไร? มีอาการพวกนี้ใช่กรดไหลย้อนหรือเปล่า?
วันนี้เดี๋ยวคุณหมอจะมาแนะนำ กรดไหลย้อน เจ้าโรคยอดฮิตของคนในยุคนี้ และวิธีจัดการกับมันให้เคลีย์ๆ กันไปเลยดีกว่าครับ ว่าเกิดจากภาวะที่กดไหลย้อนเข้ามาในหลอดอาหาร ทำให้มีอาการแสบร้อนตามมา ซึ่งกดไหลย้อนเกิดจากหูรูดรอยต่อกระเพาะเกิดการหลวม ปกติแล้วมันจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนเข้าไปที่หลอดอาหารได้ ซึ่งอาการหูรูดหลวมก็มีด้วยกัน 2 แบบครับ คือการหลวมแบบชั่วคราวและการหลวมแบบถาวร อันนี้ก็ต้องมาดูอาการกันอีกทีครับ
แต่ถ้าถามอีกว่า การกินแล้วนอนมีความเสี่ยงไหม?
ตอบง่ายๆ เลยครับเสี่ยงมากแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเรามีภาวะหูรูดหลอดอาหารหลวมเนี่ย เวลาเรากินอะไรเข้าไปก็เหมือนการปิดฝาขวดน้ำไม่สนิท น้ำก็จะไหลรั่วซึมออกมาได้ การกินแล้วนอนจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคกรดไหลย้อนได้สูงกว่าคนอื่นๆอีกด้วยครับ ส่วนใหญ่แล้วโรคนี้มักจะพบในวัยทำงานและวัยสูงอายุมากที่สุด ในวัยทำงานพฤติกรรมหนึ่งที่เป็นสาเหตุของโรคเลยก็ คือ ความอ้วน อ้วนลงพุง อ้วนแล้วไม่ออกกำลังกาย กินแล้วนอนทันทีหรือกินอาหารจนอิ่มแน่นเกินไป พวกบุฟเฟ่ต์ ปิ้งย่าง ชาบูอะไรพวกนี้ครับ เรามักจะกินจนคุ้ม กินจนอิ่ม กินจนแน่นท้องแล้วอาจจะนอนเลย หรือมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่พวกนี้ ก็เป็นตัวกระตุ้นภาวะโรคกดไหลย้อนหรือหูรูดหลวมได้อย่างชั้นดีเลยล่ะครับ
อาการกดไหลย้อนมี 2 แบบ คือ อาการที่เกี่ยวกับในหลอดอาหาร กับ นอกหลอดอาหาร อาการของที่เกี่ยวกับในหลอดอาหาร เมื่อกินอาหารเข้าไปแล้วจะแสบร้อนกลางหน้าอก ใต้ลิ้นปี่ มีอาการจุกคอ ขมคอ เรอเปรี้ยว อันนี้เป็นอาการที่คนทั่วไปอาจจะรู้และสังเกตได้ แต่อาการนอกหลอดอาหาร การไอเรื้อรัง คนที่เป็นหอบหืดแล้วมีอาการกำเริบบ่อยๆ เป็นไซนัสรักษาแล้วไม่ดีขึ้นก็อาจจะต้องระวังเรื่องของโรคกดไหลย้อนไว้ด้วยครับ
สำหรับการปฏิบัติตัวเบื้องต้นถ้าเริ่มที่จะเป็นกรดไหลย้อนแล้วอย่างที่ได้บอกไปครับ ถ้าเราอ้วนก็ลดน้ำหนักบ้าง ถ้าเรากินแล้วนอนก็หลีกเลี่ยงการไม่กินก่อนที่จะนอน 3 ชั่วโมงหรือหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น กินบุฟเฟ่ต์ นมน้ำอัดลม ถั่ว งา ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ บุหรี่ หรืออาหารบางอย่างที่จะทำให้หูรูดหลวมง่ายขึ้นอย่าง ช็อกโกแลตและเปปเปอร์มิ้นท์ ก็ควรจะต้องหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน
ถ้าไม่รักษาแล้วจะสามารถหายได้เองไหม?
บอกเลยครับว่าถ้ายังเป็นในอาการที่ไม่รุนแรงมากก็อาจจะสามารถหายได้เองแต่ถ้ามีแผลในกระเพาะหรือที่ต่างๆเกิดขึ้น ไม่สามารถหายได้เองแน่นอนครับ แล้วถ้าไม่รักษาก็อาจจะเป็นโรคหลอดอาหารตีบหรือมะเร็งหลอดอาหารได้เช่นกัน ซึ่งเป็นผลข้างเคียงระยะยาวของโรคกรดไหลย้อนนั่นเองครับ ทุกๆท่านถ้าเริ่มมีอาการข้างต้นและได้ลองปรับพฤติกรรมหลีกเลี่ยงข้อต่างๆแล้ว ก็ยังไม่ดีขึ้นให้ทานยาลดกรดเคลือบกระเพาะ ควบคู่กันไปด้วยครับ
แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นอีกทำทุกวิธีก็ไม่หายไม่ดีขึ้นสักที มาเลยครับวิธีนี้ช่วยได้แน่นอน นั่นก็คือ… การผ่าตัดส่องกล้องนั่นเอง แต่เมื่อไหร่ที่เราจะมีการพิจารณาทำการผ่าตัด 1 ได้รับการวินิจฉัยที่แน่นอน 2 ต้องตรวจสอบว่าความรุนแรงของโรคว่าเป็นขั้นไหนแล้ว 3 ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่ามีผลแทรกซ้อนของโรคอื่นหรือเปล่า นี่จึงเป็น 3 ข้อหลักที่จะตัดสินได้ใจว่าคุณควรทำการผ่าตัดหรือไม่ ส่วนการผ่าตัดแบ่งออกง่ายๆอีก 3 แบบ คือ
- การส่องกล้องทางเดินอาหาร เป็นการดูแผลในหลอดอาหาร ลำไส้ กระเพาะและตรวจว่าผู้ป่วยไม่มีภาวะเสี่ยงเป็นโรคอื่น สำหรับผู้ที่เป็นนานๆอาจเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารหรือกระเพาะได้สูงมากเลยต้องส่องกล้องดูครับ
- การตรวจกดไหลย้อน 24 ชั่วโมง เป็นการตรวจเหนือกล้ามเนื้อหูรูดว่ามันมีกรดไหลย้อนขึ้นมาจริงหรือเปล่า
- การตรวจการบีบตัวและการทำงานของกล้ามเนื้อหลอดอาหาร ว่าการบีบตัวต่างๆตรงกับอาการของโรคกรดไหลย้อนไหม การตรวจแบบนี้ก็จะสามารถบอกได้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไรอยู่ได้ชัดขึ้น
ผลของการผ่าตัดจะได้ผลประมาณ 80-90% หลังจากผ่าตัดแล้วควรกินอาหารเหลวๆ หรืออาหารอ่อนมากๆ ประมาณ 1 เดือน เพื่อไม่ให้แผลผ่าตัดที่รัดไว้ขาดเมื่อเจออาหารแข็งๆที่เข้าไปนั่นเองครับ
สุดท้ายนี้มาเช็คกันว่าเราเสี่ยงเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่กันดีกว่าครับ คุณมีอาการอย่างที่บอกบ้างหรือเปล่า? คุณมีความเสี่ยงในการรับประทานอาหารหรือไม่? คุณเป็นคนที่อ้วนลงพุง อ้วนไม่ออกกำลังกายใช่หรือเปล่า? ถ้ามีความเสี่ยงเบื้องต้นพวกนี้ ลองปรับพฤติกรรม ปฏิบัติตัวเองซะใหม่ดูก่อน ถ้าลดน้ำหนักออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ บุหรี่ ไม่กินอะไรก่อนนอน 3 ชั่วโมง แล้วไม่ดีขึ้นลองกินยาควบคู่ไปด้วย ถ้ายังไม่ดีขึ้นอีก ทางออกโดยการผ่าตัดส่องกล้องอาจเป็นทางเลือกให้คุณจัดการกับเจ้าโรคกรดไหลย้อนได้ดีขึ้นนั่นเองครับ
ขอบคุณ: โรงพยาบาลพญาไท2
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline
