Trends / หนึ่งในเทรนด์ใหญ่ของตลาดงานช่วงไม่กี่ปีนี้คือ ผู้มีทักษะด้านเทคโนโลยีเป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก และที่เนื้อหอมมากสุดของงานกลุ่มนี้คือเอไอ โดยล่าสุดความเคลื่อนไหวในตลาดงานสหรัฐฯ ก็สะท้อนถึงเทรนด์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
ตามข้อมูลของมหาวิทยาลัยแมริแลนด์กับ LinkUp บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลในตลาดงานสหรัฐฯ ระบุว่ายอดโพสต์หาคนมาทำงานด้านเอไอของสหรัฐฯ เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี 2022 โดยปลายปีนั้นเพิ่มมา 68% และพอถึงสิ้นปี 2024 ก็เพิ่มขึ้นมาอีก 124%
ทั้งที่ในเวลาไล่เลี่ยกันความต้องการงานตำแหน่งอื่น ๆ ทั้งหมดของสหรัฐฯ ลดลง 17% ขณะที่งานสายไอทีที่ไม่ใช่เอไอลดลงมากถึง 27%

อนิล กุปตา ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ที่ปรึกษาของการเก็บรวบรวมข้อมูลนี้ วิเคราะห์ว่าเทรนด์ดังกล่าวมาจาก ChatGPT ซึ่งปลุกให้บริษัททุกธุรกิจของสหรัฐฯ ตื่นตัวด้านเอไอและต้องการคนเชี่ยวชาญด้านนี้มาทำงาน หรือ ChatGPT Effect
ทัศนะดังกล่าวและข้อมูลของ LinkUp สอดคล้องกับการคาดการณ์ของการประชุม World Economics Forum เมื่อมกราคมทีผ่านมาว่า เมื่อถึงปี 2030 41% ของบริษัททั่วโลกจะลดจำนวนพนักงานแล้วให้เอไอทำงานแทนคน
ท่ามกลางข้อมูลจาก LinkedIn แพลตฟอร์มดังในตลาดงานและ PwC บริษัทใหญ่ในธุรกิจจับคู่งานกับคนที่ว่า ปัจจุบันเอไอคือตลาดงานที่โตสุดของสหรัฐฯ
ทั้งหมดเป็นการสะท้อนว่า ในอนาคตอันใกล้บริษัทในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศทั่วโลก จะหันมาเน้นใช้เทคโนโลยี ลดกำลังคน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว (More tech, Less staff, Safe cost)
และต่างยอมรับได้ที่ต้องแลกด้วยทุ่มงบก้อนใหญ่เพื่อปรับเปลี่ยนระบบและโครงสร้างบริษัทก่อน เพราะล้วนเชื่อว่าจะคุ้มค่า ผลิดอกออกผลทางธุรกิจ และสร้างกำไรได้มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่างงานที่เพิ่มขึ้นมากสุดคืองานด้านเอไอนั่นเอง
เรื่องนี้ยืนยันได้จากการที่ Microsoft ประกาศทุ่มเงินลงทุน 80,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.7 ล้านล้านบาท) ในศูนย์ข้อมูลเอไอ
ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไปไกลกว่านั้นด้วยการร่วมมือกับ Softbank กลุ่มทุนเทคโนโลยีดังสัญชาติญี่ปุ่น กับ Oracle ยักษ์ซอฟต์แวร์ของประเทศ และ OpenAI บริษัทร่วมชาติที่พัฒนา ChatGPT เพื่อพัฒนาพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านเอไอในชื่อ Stargate ภายใต้งบลงทุนถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 17 ล้านล้านบาท) ในอีกไม่กี่ปีถัดจากนี้
รายงานดังกล่าวยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอีกว่า ในอนาคตตลาดงานด้านเอไอของสหรัฐฯ จะโตอีกมาก เพราะนอกจาก ChatGPT Effect แล้ว ทั้งบริษัทและหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องสู้กับเอไอจีน ที่มี Deepseek เป็นหัวหอก หลังซุ่มพัฒนาเอไอประสิทธิภาพทัดเทียมกัน แต่ด้วยเงินกับคนที่น้อยกว่า

เหตุการณ์ดังกล่าวฉุดมูลค่าหุ้นบริษัทกลุ่มยักษ์เทคสหรัฐฯ หายไปมากเกินล้านล้านดอลลาร์ (ราว 34 ล้านล้านบาท) จนมีการกล่าวกันว่า สหรัฐฯ เผชิญช่วงเวลาสปุตนิก (Sputnik moment) ทางเอไอเข้าให้แล้ว
ไม่ต่างจากการถูกบีบให้ต้องเร่งพัฒนากิจการด้านอวกาศในปี 1957 หลังโดนรัสเซียยุคโซเวียตตัดหน้าเป็นประเทศแรกในโลกที่สามารถส่งดาวเทียมสู่วงโคจรได้สำเร็จ อันเป็นที่มาของสถานการณ์แบบช่วงเวลาสปุตนิกนั่นเอง
ที่สุดแม้สหรัฐฯ สร้างประวัติศาสตร์เป็นประเทศแรกในโลกที่ส่งยานอวกาศไปลงจอดบนดวงจันทร์ และนีล อาร์มสตรองได้จารึกชื่อว่าเป็นมนุษย์คนแรกที่เหยียบดวงจันทร์ได้ แต่ความสำเร็จดังกล่าวก็เกิดขึ้นในปี 1969 หรืออีกเกือบ 10 ปีให้หลัง/cnn
–
