อยู่ในตลาดเวชสำอางมา 48 ปี สำหรับแบรนด์ “ดร.สมชาย” ตั้งแต่ยุคบุกเบิกของ “ดร.สมชาย เรืองวัฒนสุข” ที่ในอดีตเคยครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 มาในวันนี้ยังติดอยู่ในทอป 3 ครองส่วนแบ่งราว 30% ส่งต่อสู่ “อรอินท์ เรืองวัฒนสุข” ทายาทรุ่น 2 ที่เป็นหัวหอกในการเดินหน้าวิจัย “จีโนม อีดิทติ้ง” ซึ่งเป็นดีพเทคโนโลยี หนีตลาดเครื่องสำอางที่ปัจจุบันกำลังหดตัว
ตลาดเครื่องสำอางหดตัว
อรอินท์ เรืองวัฒนสุข กรรมการบริหาร บริษัท เอส.เอส. แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด และผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ดร.สมชาย กล่าวว่า ตลาดธุรกิจเครื่องสำอางในประเทศไทยมูลค่า 1.7 แสนล้านบาท เป็นตลาดสกินแคร์เกิน 50% ขณะที่ตลาดเวชสำอางมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ภาพรวมตลาดหดตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 และคาดว่าน่าจะต่อเนื่องถึงไปถึงไตรมาสแรกของปีหน้า โดยเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย
รวมทั้งมีพวกสตาร์ทอัพ โมเดล และ enterprise value ใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดมากมายมาท้าทายกลุ่มบิสสิเนสเดิมๆ ส่งผลให้เป็นตลาดเรดโอเชียน ทำให้บริษัทต้องปรับโมเดล และเปลี่ยนให้ไว โดยได้ขยายไลน์ธุรกิจไปในเรื่องของนวัตกรรมไบโอเทคโนโลยี
หนีตลาดด้วยดีพเทคโนโลยี
โดย “ดร.สมชาย” เป็นบริษัทเวชสำอางเจ้าแรกในไทยที่มุ่งเป้าสู่เทคโนโลยี 4.0 เดินหน้าวิจัยเรื่อง “จีโนม อีดิทติ้ง” การใช้เทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม ซึ่งเป็นดีพเทคโนโลยีทางชีวภาพที่สูงสุดในปัจจุบัน
อรอินท์กล่าวต่อว่า ปีที่ผ่านมาได้จดสิทธิบัตรยา small molecule สำหรับฆ่าเซลล์มะเร็ง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนในปีนี้มีแผนการจดสิทธิบัตรยาต้นแบบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อีก 2 ตัว และตั้งเป้าไว้ว่าอีก 5 ปี จะจดเพิ่มให้ได้เกิน 5 ตัว
นอกจากนี้ ยังได้ลงทุนด้านการวิจัยด้วยการเปิดบริษัท ไบโอเทค ที่สิงคโปร์ ศึกษาวิจัยด้วยการใช้เทคนิคใหม่ CRISPR เพื่อพัฒนากระบวนการใหม่ในการสร้างโปรตีนรักษาโรค
“ปัจจุบันตลาด recombinant protein มีมูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์ และคาดว่าในปี 2025 จะมีมูลค่าถึง 7.5 แสนล้านดอลลาร์”
“ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนหาพาร์ตเนอร์เข้ามาร่วมทุน เพราะเป็นการลงทุนค่อนข้างสูงระดับหมื่นล้านบาท ซึ่งตอนนี้มีกลุ่มทุนจากบราซิล และดูไบให้ความสนใจร่วมทุนด้วย โดยโมเดลนี้ยังไม่ได้สร้างรายได้ให้กับบริษัท ซึ่งหากทำตรงนี้ได้สำเร็จก็อาจจะต้องแยกแบรนด์ออกมาให้ชัดเจน”
แบรนด์ “ดร.สมชาย” ยังโดดเด่นด้วยสิว
สำหรับภาพรวมในช่วง 7 เดือนแรกนั้น อรอินท์ระบุว่า ดร.สมชายยังเติบโต และตั้งเป้าปีนี้มีรายได้โตขึ้น 15% โดยพอร์ตรายได้มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์สิว หรือ แอคเน่ 25% ส่วนที่เหลือเป็นทั้งกลุ่มไวท์เทนนิ่ง บอดี้ ซันสกรีน เอจจิ้ง เป็นต้น
“โปรดักต์ไลน์ของ ดร.สมชายยังเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทสิว แต่ก่อนมีเราเจ้าเดียวทำตลาดแบบนิชมาร์เก็ต แต่ปัจจุบันตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์สิวกลายเป็นกลุ่มแมสไปแล้ว เพราะในปัจุบันมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสิวที่เป็น regional brand 30-40 แบรนด์”
โดยแบรนด์ ดร.สมชายมีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 100 SKU และปีนี้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ไปแล้วอีก 10 SKU
ขณะเดียวกันนอกจากจะโฟกัสตลาดในประเทศด้วยการขยายกลุ่มลูกค้าจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้เป็นกลุ่มวัยรุ่นมาเป็นกลุ่ม first jobber และเตรียมเพิ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอจจิ้ง หรือ ชะลอวัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีมูลค่าตลาดสูงถึงหมื่นล้านบาท และในไลน์ของบริษัทเองมีไม่ถึง 10 SKU
ด้านตลาดต่างประเทศเอง ดร.สมชายเข้าไปทำตลาดในหลายประเทศอาเซียน ทั้งเมียนมา กัมพูชา ลาว เวียดนาม และสิงคโปร์ โดยหวังเปลี่ยนจาก regional brand เป็น international brand
ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ส่งออกยังไม่ถึง 20% ตั้งแต่ปีหน้ารายได้ส่งออกแตะ 20%

อยู่ในตลาดมา 48 ปี “ดร.สมชาย” รายได้เท่าไร
ปี 2559 234,849,857.71
ปี 2560 213,119,274.49
ปี 2561 182,703,148.33
หน่วย: บาท
ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ของบริษัท เอส.เอส. แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด
–
