ใครจะคิดว่าขายแทรกเตอร์ รถไถ ทำธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรแบรนด์เดียวจะมีรายได้ระดับหมื่นล้าน
ชื่อที่คุ้นหูในไทยมากที่สุดคงต้องยกให้ “คูโบต้า” แบรนด์ที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด อยู่ในไทยมานับ 40 ปี
นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ ”Yanmar-Iseki- KIOTI ฯลฯ” ที่มาแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดลดหลั่นกันไป
คนไทยเริ่มรู้จักคูโบต้าตั้งแต่ปี 2521 คูโบต้าทำธุรกิจเรื่อยมาจนมาอยู่ในชื่อ “สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น” ในปี 2553 จนมาถึงปัจจุบัน
โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทแม่ “คูโบต้า คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น)” ถือหุ้น 60% และอีก 40% ที่เหลือเป็นของยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง “เอสซีจี”
“สยามคูโบต้า” มีสินค้าครอบคลุมทุกการใช้งานในภาคเกษตรกรรม ได้แก่ แทรกเตอร์อุปกรณ์ต่อพ่วง รถเกี่ยวนวดข้าว รถดำนา รถขุด รถไถเดินตาม เครื่องยนต์ดีเซล ฯลฯ และอะไหล่ ภายใต้ตราสินค้า “คูโบต้า” และ “ตราช้าง”
แล้วตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรมีมูลค่าแค่ไหน
คูโบต้าเคยเปิดเผยเมื่อปีที่ผ่านมาระบุว่า ตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรของไทยช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 มีมูลค่าราว 45,000 ล้านบาท เติบโต 4-5%
ขณะที่แนวโน้มการเกษตรทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องเกษตรอัจฉริยะและเกษตรอัตโนมัติเพิ่มคุณภาพผลผลิต ลดต้นทุน และที่สำคัญคือแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรทั่วโลก
ส่งให้ผลประกอบการของ “สยามคูโบต้า” เติบโตต่อเนื่องทุกปี
2559
รายได้รวม 45,992,508,710.00
กำไร 4,779,323,834.00
2560
รายได้รวม 47,600,249,401.00
กำไร 3,562,468,555.00
2561
รายได้รวม 50,456,848,895.00
กำไร 4,231,095,912.00
หน่วย: บาท
ปีล่าสุดมียอดขาย 54,000 ล้านบาท มาจากสัดส่วนในประเทศ 33,000 ล้านบาท เติบโตเกือบ 10% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ยอดขายต่างประเทศอยู่ 21,000 ล้านบาท
โดยตลาดต่างประเทศของสยามคูโบต้าคือภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกาเหนือ และออสเตรเลีย
ซึ่งมีตลาดส่งออกหลักคือประเทศกลุ่ม CLM (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ปีที่ผ่านมาตลาดในกัมพูชาเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ลาวและเมียนมาเติบโตลดลง

แล้วทิศทางต่อจากนี้ “สยามคูโบต้า” จะไปในทิศทางไหน
จากข้างต้นที่พบกันทั่วโลกคือ “ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน” มองว่าเกษตรกรรมในอนาคตจะใช้เครื่องจักรกลมากขึ้น เพื่อรองรับผลผลิตและทดแทนแรงงานคนที่หลายๆ ประเทศเริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society)
สยามคูโบต้าระบุว่าแนวโน้มตลาดเกษตรอัจฉริยะจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 19% ต่อปี สยามคูโบต้าจึงได้เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนภาคการเกษตร ให้เป็น “เกษตรอัจฉริยะ”
– ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี IoT เซนเซอร์ นวัตกรรมการถ่ายภาพที่ส่งให้เกษตรกรได้แบบเรียลไทม์ (Real Time)
– มีระบบบริหารจัดการเครื่องจักร อาทิ ระบบ KIS (Kubota Intelligence Solutions) ที่นำ GPS Telematics มาช่วยบริหารจัดการเครื่องจักรเพื่อให้สามารถทำเกษตรได้อย่างแม่นยำ
– จับมือพันธมิตรจัดโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมการเกษตรระดับนานาชาติ (Global AgTech Acceleration Program) เพื่อพัฒนาภาคการเกษตรให้เป็นเกษตรอัจฉริยะ
– เปิดให้บริการ KUBOTA Farm อย่างเต็มรูปแบบ โดยนำแนวคิด KUBOTA (Agri) Solutions หรือ KAS ซึ่งเป็นการจัดการเกษตรกรรมครบวงจรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคูโบต้ามาประยุกต์ใช้จริง
นอกจากนี้ ยังใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ให้ “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” (Customer Centric) รวมถึงการใช้ Big Data สร้างเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายและศูนย์บริการ ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ จำนวนกว่า 400 แห่ง ให้มีความแข็งแกร่ง
และมี “ออมนิ แชนแนล (Omni Channel)” มาใช้ในระบบการจัดจำหน่ายมีการเชื่อมโยงลูกค้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยผนวกสื่อออนไลน์เข้ากับออฟไลน์มากขึ้น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือทิศทางของสยามคูโบต้าที่ปฏิวัติตัวเองสอดรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคเกษตร 4.0

เป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า (2567) สยามคูโบต้าตั้งเป้ายอดขายรวม 100,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 10%
และเพิ่มสัดส่วนการขายตลาดต่างประเทศให้ถึง 50% เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกำลังพัฒนาอย่างกัมพูชา ลาว และเมียนมา
–
