ปีนี้เรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาคมโลกและเศรษฐกิจของนานาประเทศเป็นวงกว้างไปทั่วโลกคือ “การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19”
ที่แต่ละประเทศต้องเร่งหามาตรการในการแก้ปัญหาให้จบโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจ “ถดถอย” ไปมากกว่านี้
และจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกที่รุนแรงเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดของหลายประเทศ ทำให้ล่าสุด EIC ออกมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2020 นี้จะเข้าสู่ภาวะถดถอย และมีแนวโน้มหดตัวที่ -2.1% ซึ่งต่ำกว่าช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008-2009
โดยมาจาก 3 ปัจจัยคือ
1) ไวรัส COVID-19 ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก (pandemic) เร็วและมากกว่าสมมุติฐานเดิม จากเดิมที่คาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2020 จะเติบโตที่ 1.8% (ณ 13 มีนาคม) ประเทศที่พบผู้เสียชีวิตจากไวรัส COVID-19 ครอบคลุม 40 ประเทศทั่วโลก โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมในจีนจาก COVID-19 มากกว่าผู้เสียชีวิตสะสมนอกประเทศจีน
แต่ล่าสุด (30 มีนาคม) พบผู้เสียชีวิตจากไวรัส COVID-19 ครอบคลุมถึง 124 ประเทศ โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิตนอกประเทศจีนสูงกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในจีนและต่างกันถึง 9.6 เท่า
ทำให้ EIC คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกให้กลับสู่สถานการณ์ปกติอาจล่าช้าออกไปอีก โดยสมมุติฐานล่าสุดคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2020 เป็นต้นไป
2) ทางการของหลายประเทศได้ออกมาตรการควบคุมการแพร่กระจายที่เข้มงวด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลกชะงักลงรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ ทำให้รัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกพยายามควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดด้วยการออกมาตรการควบคุมต่างๆ
มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ (lockdown) เช่น กลุ่มสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการห้ามการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศสมาชิกเป็นเวลา 30 วัน เป็นต้น
และมาตรการเพิ่มระยะห่างทางสังคม (Social distancing) เช่น การจำกัดการเดินทางระหว่างเมือง การขอความร่วมมือให้พลเมืองอยู่แต่ในที่พักอาศัยเท่านั้นยกเว้นมีเหตุจำเป็น การปิดสถาบันการศึกษาและปิดร้านค้าที่ไม่ได้ขายสินค้าจำเป็นลงชั่วคราว เป็นต้น
EIC ประเมินว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลกชะงักลง รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศที่คาดว่าจะหดตัวรุนแรงในช่วงไตรมาส 1 และ 2
3) ตัวเลขเร็ว (High frequency data) ในหลายประเทศเศรษฐกิจหลักหดตัวมากกว่าที่คาด โดยตัวเลขเศรษฐกิจจีนในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์แสดงถึงกิจกรรมการผลิตและการบริโภคที่ชะงักลงรุนแรง
นอกจากนี้ ตัวเลขเร็วของประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ แสดงให้เห็นกิจกรรมในภาคการผลิตและภาคบริการหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของสหรัฐฯ ยูโรโซน และญี่ปุ่นในเดือนมีนาคมลดลงเหลือ 40.5, 31.4 และ 35.8 ตามลำดับ ต่ำกว่าช่วงวิกฤตการเงินปี 2008-2009

แล้วประเทศไทยเป็นอย่างไร
EIC ยังประเมินสถานการณ์ในไทยระบุว่า GDP ไทยปีนี้หดตัวที่ -5.6% จากคาดการณ์เดิมที่ -0.3% โดยมีสาเหตุหลักจากพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว 4 ข้อ ได้แก่
1) เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยจากการหยุดลงแบบฉับพลันของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เป็นผลจากปัญหา Covid-19 และมาตรการปิดเมืองของหลายประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกสินค้าของไทยมีแนวโน้มหดตัวมากที่ -12.9% ในปีนี้
2) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศมีแนวโน้มจะลดลงมากและฟื้นตัวล่าช้ากว่าที่คาด โดยจะลดมาอยู่ที่ 13.1 ล้านคนในปีนี้ หรือหดตัวที่ -67% จากปีก่อนหน้า
เป็นผลจากความกังวลของนักท่องเที่ยวต่อการเดินทางระหว่างประเทศตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนและการรักษาโรคที่ได้ผล และจากรายได้ของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้
3) การประกาศปิดเมืองในหลายส่วนของไทย ซึ่งแม้เป็นกลยุทธ์
ที่จำเป็นในการควบคุมการระบาดของโรค แต่จะส่งผลให้การบริโภคสินค้าและบริการของภาคครัวเรือนโดยรวมลดลง ซึ่งเป็นผลกระทบที่เพิ่มเติมจากความกังวลของผู้บริโภคต่อธุรกรรมที่มีลักษณะ face-to-face ในช่วงโรคระบาดอยู่แล้ว
และ 4) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งนโยบายการเงินและการคลังที่คาดว่าจะมีออกมาเพิ่มเติม จะมีส่วนสำคัญในการช่วยบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อเศรษฐกิจไทย
โดย EIC ได้เพิ่มสมมุติฐานของเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากการออก พ.ร.ก. กู้ฉุกเฉิน จำนวน 200,000 ล้านบาทไว้ในการประมาณรอบนี้ด้วย
–
