ธุรกิจท่องเที่ยว กับ New Normal กระแสมี แต่ต้องใช้เวลาปรับตัว (บทวิเคราะห์)
แม้สถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. เพราะมีการประกาศคลายล็อกดาวน์ต่าง ๆ ในกับภาคธุรกิจบางส่วนได้เริ่มกลับมารีสตาร์ทธุรกิจกันแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าภาคธุรกิจที่ยังคงได้รับผลกระทบ และคาดว่าจะกระทบยาวไปจนถึงปลายปี และต้นปีหน้าคงหนีไม่พ้น ธุรกิจการท่องเที่ยว
เพราะนักวิเคราะห์ต่าง ๆ ออกมาประเมินแล้วว่ารายได้จากการท่องเที่ยวที่แทบจะเป็นเม็ดเงินหลักที่เข้าประเทศจะหายไปอย่างมาก สอดคล้องกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ ททท. ที่ประเมินผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวในปีนี้จะปรับลดลงมากถึง 60%
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะมาเที่ยวไปอยู่ที่ประมาณ 14-16 ล้านคน ส่วนไทยเที่ยวไทยอยู่ที่ 100 ล้านคน-ครั้ง
มีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.23 ล้านล้านบาท
แม้จะดูเหมือนเยอะ แต่ถ้าหากเทียบกับปีที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวทำเม็ดเงินได้ถึง 3.01 ล้านล้านบาท
มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยถึง 39.79 ล้านคน
คนไทยเที่ยวไทยเอง 166 ล้านคน-ครั้ง
ก็เรียกได้ว่าเป็นปีที่สาหัสของธุรกิจท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของประเทศเหมือนกัน

สอดคล้องกับศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่มองว่า ทิศทางการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปี 2563 จะยังไม่สามารถพลิกกลับมาเป็นบวก โดยรายได้ท่องเที่ยวทั้งจากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยเที่ยวในประเทศทั้งปีอาจสูญเสียไปราว 1.69 ล้านล้านบาท
และแม้ในปี 2564 จะฟื้นตัว ก็คงจะยังไม่กลับไปสู่สถานการณ์ก่อนโควิด-19 จึงเป็นช่วงที่ลำบากของธุรกิจ
เพราะธุรกิจท่องเที่ยวยังต้องเจอโจทย์ท้าทายสูงภายใต้สภาวะ New Normal กว่าที่บรรยากาศจะกลับมาเอื้อต่อการเดินทาง คงจะไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ขณะที่มาตรการภาครัฐบางประการยังจำเป็นต้องคงไว้ เช่น การควบคุมการเดินทางเข้าออกของนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทย การบริหารจัดการสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อลดความหนาแน่นของนักท่องเที่ยว รวมทั้งกำลังซื้อ และความกังวลของนักท่องเที่ยวเองก็เป็นปัจจัยประกอบด้วยเช่นกัน
ประกอบกับปัญหาที่ตลาดมีจำนวนผู้ให้บริการที่มากกว่าผู้ใช้บริการหรือ Over Supply จะยิ่งกระตุ้นให้การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้น
นอกจากความท้าทายที่ผู้ประกอบการรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ทำได้มากที่สุดคือ “การปรับตัว” คำถามคือ แล้วจะต้องปรับตัวอย่างไร
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยให้มุมมองไว้น่าสนใจคือ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจำเป็นต้องปรับรูปแบบการให้บริการที่คำนึงถึงความปลอดภัยในทุก ๆ จุดที่นักท่องเที่ยวไปใช้บริการ ทั้งระหว่างการเดินทาง การเข้าพักในโรงแรม/ที่พัก และการไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ
ส่งผลให้ทั้งสายการบิน ผู้ให้บริการรถทัวร์ รถโดยสารสาธารณะ บริการนำเที่ยว และโรงแรม/ที่พัก คงต้องมีการจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ บริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลาง มีระบบเช็กอินออนไลน์ ระบบการตรวจวัดอุณหภูมิ และระบบอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ลดการสัมผัส
อ่าน : นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่ำสุดในรอบ 15 ปี
เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการต้องใช้การตลาดเชิงรุกโดยเริ่มเข้าไปหาลูกค้าแทนการรอลูกค้ามาหา และนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ครบวงจรโดยออกแบบมาเป็นอย่างดีที่สุดสำหรับลูกค้า
ยกตัวอย่างเช่น สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มแพ็กเกจทัวร์ ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวร่วมกับพันธมิตรอย่างสายการบิน จัดให้มีบริการเที่ยวบินเฉพาะ (Charter flight) เพื่อรับลูกค้าที่มีความกังวลในการเดินทาง
ในส่วนของโรงแรม/ที่พัก ควรมีการจัดพื้นที่เฉพาะเป็นสัดส่วนให้กับกลุ่มลูกค้า รวมถึงผู้ประกอบการอาจจะต้องมีการอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความปลอดภัยกับผู้ใช้บริการให้มีความสะดวกยิ่งขึ้น
เช่น การอำนวยความสะดวกในการซื้อของที่ระลึกและสินค้าพื้นเมือง โดยให้ร้านค้าชุมชนที่ได้มาตรฐานนำสินค้ามาจัดวางเป็นตัวอย่าง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมและสามารถสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ของร้านค้าหรือผ่านทางโรงแรม/ที่พัก
ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เดินทางด้วยตนเอง หรือ FIT ผู้ประกอบการท่องเที่ยวอย่างสายการบิน ธุรกิจรถเช่า รถรับ-ส่ง ธุรกิจนำเที่ยวแบบ One Day Trip และโรงแรม/ที่พัก จับมือร่วมกันเป็นเครือข่ายพันธมิตรยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้บริการตลอดการเดินทางท่องเที่ยวในไทย
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Tripadvisor ยังเปิดเผยเทรนด์ท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ที่มองว่าจะกลายเป็น New Normal คือการท่องเที่ยวสถานที่ใกล้บ้านที่สุด รับประทานอาหารท้องถิ่น พักแรมในท้องถิ่น หรือเดินทางภายในประเทศ ส่วนการท่องเที่ยวต่างประเทศนั้นเป็นลำดับรองลงมา และใส่ใจในด้านสุขภาพมากขึ้น
Website : Marketeeronline.co /
