SME Think Tank/ดร. เกษม พิพัฒน์เสรีธรรม
ในวงกาแฟวิถีไกลแบบ Social Distancing ผ่าน VDO Call เพื่อนผมสัพยอกมาว่า ก่อนเจ้า Covid-19 มาเวลามันจะผายลม ต้องแกล้งไอเพื่อกลบเสียงผายลม (คงได้แต่เสียง) แต่เดี๋ยวนี้มันทำตรงกันข้ามคือพยายามผายลมเสียงดังเพื่อกลบเสียงไอ เพราะกลัวว่าคนรอบข้างจะคิดว่ามันเป็นร่างทรงของเจ้า Covid-19 เข้าให้แล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่า New Normal หรือเปล่าครับ
กระแสโลกทุกวันนี้ทุกคนพูดกันถึงแต่เรื่อง ชีวิตวิถีใหม่ New Normal แล้วเราก็เห็นนวัตกรรมที่มาช่วยทำเรื่องใหม่ที่เปลี่ยนไปให้เป็นเรื่องปกติ เพราะความกลัวตาย กลัวการระบาดจากเจ้าไวรัสร้าย
ความจริงวิถีชีวิตคนเราเปลี่ยนแปลงมานับครั้งไม่ถ้วนนับแต่มีการคิดค้นใหม่ ๆ ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม พลังงาน เรื่อยมาจนมาถึงอินเทอร์เน็ต 4G 5G หรือพวก AI Big Data ที่จะมาเปลี่ยนโลกแบบ Disruption
ลองนึกภาพง่าย ๆ ก่อนที่จะมีการคิดนวัตกรรม คาราโอเกะ การร้องเพลงสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ไม่ใช่จะเป็นเรื่องง่ายนัก โดยเฉพาะคนที่ร้องเพลง (แบบไม่เป็นเพลง) หรือไม่มีเครี่องดนตรีที่จะมาช่วยให้ทำนอง ก็ได้แต่ตั้งวง มีกีตาร์ เคาะกระป๋อง ถ้วย ถัง กันไปตามเรื่องตามราว คาราโอเกะ ทำให้การร้องเพลงเป็นเรื่องง่าย จนกลายเป็นชีวิตวิถีใหม่ที่เราคุ้นเคย (มานาน)
เด็กรุ่นหลังที่เกิดมาก็เลยเห็นว่า คาราโอเกะ เป็นเรื่องธรรมดา Normal Normal
ผมเคยเขียนบทความแนะไม่ให้กลัวการเปลี่ยนแปลง แบบ Disruption ขออนุญาตนำมาเตือนความจำกันนิดหน่อย ประมาณนี้
- ท่านต้องตระหนักและยอมรับความเปลี่ยนแปลง มันเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น แม้การเปลี่ยนแปลงยังไม่เกิดกับตัวท่านในปัจจุบัน แต่ท่านได้รับผลกระทบแน่นอน ไม่มากก็น้อย
- ท่านต้องมีความคิดบวกว่าการเปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดโอกาสมากกว่าเป็นอุปสรรคหรือภัยคุกคาม
เมื่อท่านไม่กังวลเกินเหตุ สมองของท่านก็จะว่างพอที่จะใช้การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสร้างโอกาส
- ท่านต้องศึกษาเทคโนโลยีที่ท่านคิดว่าเหมาะสมกับท่าน ไม่ยากเกินไป ไม่ลงทุนมากไป ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำในการใช้เทคโนโลยี หรือก้าวทันเทคโนโลยี ขอเพียงแต่ไม่ล้าหลัง
- ท่านต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
เจ้าไวรัสร้าย Covid-19 ที่ยังคงระบาดในโลกนี้อีกนานพอสมควร ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนมาป้องกัน
ชีวิตคนเรา ความกลัวตายทำให้คนเราต้องยอมเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ยิ่งการระบาดของ Covid-19 อยู่นานเท่าไร เราก็ต้องรับการเปลี่ยนแปลงนั้นและทำกันจนเคยชิน เป็นเรื่องปกติ
ผมเชื่อว่าทุกวันนี้เวลาที่เราออกจากบ้านนอกจากโทรศัพท์มือถือ (New Normal ในอดีต) แล้วต้องมีหน้ากากอนามัย (New Normal ปัจจุบัน) และ เจลหรือแอลกอฮอลล์ล้างมือ พร้อมไปด้วยเสมอ
Social Distancing การอยู่กันแบบห่าง ๆ (อย่างน้อย 1 เมตร) และการพยายามมีอนามัยทำให้พฤติกรรมคนเราเปลี่ยนไป ยิ่งต้องทำกันทุกวันจนเคยชิน ก็จะกลายเป็นพฤติกรรมปกติ ทำเองแบบไม่ต้องบังคับ กลายเป็นพฤติกรรมปกติไป
ลองมาดูพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน (วันที่เขียนบทความนี้ 23 พ.ค. 2563)
การยอมรับชีวิตดิจิทัลในคนรุ่นก่อน Gen Z มีมากขึ้น ทั้งการสั่งซื้อสินค้า อาหาร ผ่าน Application ต่าง ๆ หรือผ่าน e-commerce หรือแม้ซื้อผ่านโทรศัพท์ผ่านการโฆษณาทางโทรทัศน์แบบ TV Direct
ในอดีตเมื่อไม่มีสภาพบังคับ เพราะการห้ามออกจากบ้าน หรือร้านค้า ศูนย์การค้าปิด การที่จะทำให้ผู้บริโภคสูงวัยยอมรับการจับจ่ายแบบนี้ต้องใช้การโปรโมชั่นแรง ๆ มากระตุ้นให้ซื้อสินค้า
การต้องทำงานที่บ้าน โรงเรียนปิด ทำให้ชีวิตในบ้านมีความสำคัญมากขึ้น การเรียนรู้และทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีการสื่อสาร การเรียนออนไลน์ เป็นเรื่องที่ต้องทำทั้งแบบที่เต็มใจทำหรือโดนบังคับให้ทำก็ตาม แม้ว่าหลังจากที่เจ้า Covid-19 หยุดการระบาด และโลกปลอดภัยแล้ว หลายคนอาจจะเคยชินกับการทำงานที่บ้าน หรือ บางคนที่โชคไม่ดีอาจจะถูกบริษัทมองว่างานที่ท่านทำไม่จำเป็นที่ต้องให้ทำแล้ว ท่านก็เลยถูกเลิกจ้างหรือปรับการว่าจ้าง (ลดเงินเดือน) แล้วให้ทำงานที่บ้านแบบยาว ๆ
บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Facebook ที่เจ้านายใหญ่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เริ่มพูดว่าเขาคิดว่าจะให้พนักงานหลายตำแหน่งทำงานที่บ้านแบบถาวร ผมเชื่อว่าหลายบริษัททั้งในต่างประเทศและในประเทศไทยคงคิดเรื่องนี้กันอยู่และคงมีรูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละบริษัทออกมาใช้กันในไม่นานนี้ หรือเมื่อไวรัสร้ายจากไป
การทำงานที่บ้านทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเรื่องความสมดุลของการใช้ชีวิตทำงานและชีวิตอื่น ๆ ที่เป็นกระแสกันมานานพอสมควร ที่เรียกกันว่า work-life balance การทำงานที่บ้าน เรียนที่บ้าน ทำให้เราสามารถจัดการแบ่งเวลาทำงานและทำเรื่องอื่น ๆ ที่เราชอบแบบสมดุลมากขึ้น
เมื่อคนอยู่บ้านมากขึ้น เทคโนโลยีที่ช่วยสร้างความสะดวกสบายในบ้านจะถูกพัฒนามากขึ้นและราคาถูกลง เพราะความต้องการตลาดมีมากขึ้น ที่อยู่อัจฉริยะจะมีมากขึ้น Software ต่าง ๆ จะถูกพัฒนาให้ง่ายต่อการใช้มากขึ้น ผ่านโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องมืออื่น ๆ
คนเราจะให้ความสำคัญกับสุขอนามัยมากขึ้น แบบทำเป็นกิจวัตรประจำวัน อุปกรณ์ทำความสะอาด น้ำยาทำความสะอาด จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น บริษัทรับทำความสะอาดต้องปรับบริการรับความต้องการด้านสุขอนามัยที่เพิ่มขึ้น
คนเราจะปรับตัวรับ Fin-Tech มากขึ้น การจ่ายชำระเงิน การโอนเงิน แบบดิจิทัลผ่านโทรศัพท์มือถือจะเป็นเรื่องปกติมากขึ้น เร็ว ๆ นี้รัฐบาลจีนเริ่มใช้เงินหยวนดิจิทัล ที่ไม่ใช่ Bitcoin แล้ว เมื่อประเทศจีนประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ก็คงพยายามให้มันแพร่หลายในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เมื่อทั่วโลกยอมรับเงินหยวนมากขึ้น เงินดอลลาร์อเมริกาก็จะหมดความสำคัญ และสหรัฐอเมริกาคงหมดวันที่จะเป็นเจ้าโลก
คนเราจะให้ความสำคัญกับการรักษาพยาบาลแบบป้องกันล่วงหน้ามากขึ้น ไม่ใช่การรักษาพยาบาลแบบไม่สบายแล้วค่อยรักษา การรักษาแบบป้องกันนี้สามารถทำผ่านสื่อดิจิทัลได้ และจะเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น
คนเราจะเป็นปัจเจกมากขึ้น จะให้ความสำคัญและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีความระแวดระวังมากขึ้น ทำให้ของใช้ส่วนบุคคลจะมีความต้องการมากขึ้น
รูปแบบของการทำธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนไปตามสภาพบังคับและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทั้งร้านอาหาร ศูนย์การค้า โรงแรม บริการต่าง ๆ อย่างที่ท่านเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ยิ่งเราต้องอยู่กับ Covid-19 นานเท่าไร การพัฒนาในเรื่องเหล่านี้ก็จะมากขึ้น และคนเราก็จะปรับตัวและเคยชินกับเรื่องเหล่านี้มากขึ้น
ท่านที่ทำธุรกิจโดยเฉพาะที่มีลูกค้าเป้าหมายเป็นคนชั้นกลางขึ้นไป คนทันสมัย ท่านต้องคิดว่าเรื่องแบบนี้มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปแบบถาวร การคิดล่วงหน้าแล้วปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับบริบท กับสมัยเวลา เป็นเรื่องจำเป็นในการทำธุรกิจ
Covid-19 คงไม่ใช่ไวรัสร้ายตัวสุดท้ายที่จะมาแผลงฤทธิ์สร้างความวุ่นวาย ความลำบากให้กับโลกมนุษย์ เราควรคิดในแง่ดีว่า เจ้า Covid-19 มาช่วยให้เรารู้จักคิดและปรับตัวรับเจ้าไวรัสร้ายตัวอื่น ๆ แล้วคงไม่ต้องมาพูดว่า New Normal กันอีก เพราะมันจะกลายเป็นเรื่อง Normal Normal แม้เราจะไม่ต้องการก็ตาม
I-
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ