ย้อนไปเมื่อปี 1999 ขณะที่คอฟุตบอลโดยเฉพาะแฟน Manchester United กำลังชื่นชมคว้า 3 แชมป์รายการใหญ่ หลังพลิกกลับมาชนะ Bayern Munich คว้าแชมป์ UEFA ส่วนในวงการเทนนิสก็กำลังตื่นเต้นกับขึ้นมาของ 3 นักเทนนิสสาวดาวรุ่ง หนึ่งในนั้นคือ Serena Williams ที่คว้าแชมป์ US Open ได้สำเร็จ
ชัยชนะในรายการดังกล่าวของ Serena Williams ถือเป็นข่าวใหญ่วงการกีฬาโลกปีนั้น เพราะเป็นแชมป์ 1 ใน 4 รายการใหญ่ (Grand Slam) ครั้งแรกของเธอ และเธอยังเป็นแชมป์ระดับ Grand Slam คนแรกที่เป็นชาวอเมริกันผิวสีอีกด้วย
และเป็นชัยชนะของนักเทนนิสที่ขณะนั้นอายุเพียง 17 ปีเหนือ Martina Hingis คู่ปรับร่วมยุคชาวสวิสที่ตอนนั้นแก่กว่าเธอเพียงปีเดียว
มาปีนี้พลังคนรุ่นใหม่สร้างความตื่นเต้นให้วงการเทนนิสอีกครั้ง และเกิดขึ้นรายการเดียวกับที่สร้างชื่อให้ Serena Williams โดยในรอบชิงเป็นการพบกันระหว่าง Emma Raducanu กับ Layla Ferdandez ที่ต่างก็อายุยังไม่ถึง 20 ปี
Layla Fernandez และ Emma Raducanu
การแข่งขันจบลงด้วยการที่ฝ่ายแรกคว้าแชมป์ไป 2 เซตรวด พร้อมเงินรางวัล 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 82 ล้านบาท) ทว่ายังมีอีกประเด็นให้กล่าวถึง สามารถนำไปต่อยอดทางการตลาดได้มากมาย และย้ำว่าปัจจุบันคือยุคของความหลากหลายอย่างแท้จริง
เพราะการที่ทั้งคู่เป็นสาวลูกครึ่งเมื่อลงแข่งจึงเรียกคอเทนนิสจาก 6 ประเทศให้มาเกาะขอบจอเชียร์ เหมือน Naomi Osaka นักเทนนิสลูกครึ่งรุ่นพี่ที่เริ่มดังเมื่อ 3 ปีก่อน
Emma Raducanu สมัยยังเด็ก
Emma Raducanu แชมป์หญิงเดี่ยว US Open คนล่าสุด เกิดเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2002 ที่แคนาดา แต่ย้ายตามพ่อแม่ที่เป็นนักการเงินมาอยู่อังกฤษตั้งแต่ 2 ขวบ พอ 5 ขวบ ครอบครัวก็เปิดโอกาสให้เธอได้ลองกีฬาหลายประเภท จนได้มารู้จักและมาจริงจังกับ Tennis
สมาคม Lawn Tennis อังกฤษเริ่มเห็นแววว่า Emma Raducanu น่าจะเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ได้ไม่ยากจึงคว้าตัวมาปั้นและทยอยส่งเธอลงแข่งระดับเยาวชน โดยเธอก็ไม่ทำให้ผิดหวัง คว้าแชมป์ระดับประเทศไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุ 9 ปี และ 12 ปี
พอปี 2018 Emma Raducanu ในวัย 16 ปี ก็ได้โอกาสเข้าไปแข่งใน Wimbledon รุ่นเยาวชน และไปได้ถึงรอบรองชนะเลิศ โดยหนึ่งในคู่แข่งที่เธอชนะได้คือ Layla Fernandez สาวน้อยลูกครึ่งเอเชียอีกคน ที่แก่กว่าเพียงปีเดียว
ช่วงที่วิกฤตโควิดระบาดทั่วโลกปี 2020 นักเทนนิสสาวลูกครึ่งรายนี้ก็ยังไม่ละทิ้งการซ้อม โดยพอถึงปีนี้ความมุ่งมั่นใต้ล็อกดาวน์ดังกล่าวก็เห็นผล
เธอขยับขึ้นมาแข่งใน Wimbledon รายการใหญ่ และทำผลงานได้ดียิ่งขึ้น โดยไปได้ถึงรอบ 4 แต่เสียดายต้องถอนตัวเพราะมีปัญหาด้านการหายใจ
Layla Fernandez
ตัดมาที่ Layla Fernandez นักเทนนิสสาวลูกครึ่งเอเชียอีกคน โดยเธอเกิดเมื่อ 6 กันยายน 2002 ที่แคนาดา ในครอบครัวที่มีพ่อเป็นชาวเอกวาดอร์ และแม่ชาวฟิลิปปินส์
หลังทั้งบ้านตัดสินใจว่าจะผลักดันเธอด้านเทนนิสอย่างจริงจัง พ่อซึ่งเป็นอดีตนักฟุตบอลก็เป็นโค้ชให้เธอ ส่วนแม่ก็เสียสละไปทำงานสหรัฐฯ และส่งเงินมาจุนเจือครอบครัว
ข้ามมาปี 2019 Layla Fernandez ในวัย 17 ปี ก็คว้าแชมป์หญิงเดี่ยวระดับเยาวชนของ French Open มาได้ โดยปีนี้ก็ขยับขึ้นมาระดับอาชีพได้ด้วยความมั่นใจ พร้อมคว้าแชมป์รายการ Monterrey Open มาได้
สิงหาคมที่ผ่านมา ทั้ง Emma Raducanu และ Layla Fernandez ก็ต้องฝ่าสถานการณ์โควิด บินเดี่ยวทิ้งครอบครัวมาสหรัฐฯ เพื่อลงแข่ง US Open โดยทั้งคู่ต่าง ๆ ทำผลงานได้ดี
ฝ่ายสาวลูกครึ่งโรมาเนีย-จีน ที่ถือสัญชาติอังกฤษ หวดชนะคู่แข่งแบบไม่เสียเซต จนเข้าถึงรอบชิงส่วนสาวลูกครึ่งเอกวาดอร์-ฟิลิปปินส์ที่ถือสัญชาติแคนาดา ก็ทำผลงานได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยหนึ่งในคู่แข่งที่กระเด็นตกรอบจากคมแร็กเก็ตของเธอคือ Naomi Osaka มืออันดับต้น ๆ ของโลก และแชมป์เมื่อปี 2018 และ 2020 ซึ่งกำลังฟอร์มตก
ที่สุดเส้นทางของ Emma Raducanu วัย 18 ปีกับ Layla Fernandez วัย 19 ปีก็ได้มาบรรจบกันอีกครั้ง โดยปรากฏว่า Emma Raducanu หวดชนะไป 2 เซตรวด และเป็นนักเทนนิสหญิงชาวอังกฤษคนแรกในรอบ 53 ปีที่คว้าแชมป์รายการนี้
ความสำเร็จที่ Emma Raducanu จับต้องได้หลังคว้าแชมป์ US Open คือถ้วยรางวัล อันดับโลกที่พุ่งพรวดจาก 150 ขึ้นมาอยู่ที่ 23 และเงินรางวัล 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (82 ล้านบาท)
ท่ามกลางคาดการณ์ว่าเธอจะได้เป็นมหาเศรษฐีวงการกีฬาชาวอังกฤษคนแรกในรอบหลายปี จากสัญญาสปอนเซอร์ของแบรนด์ดังมากมายที่กำลังจะเข้ามา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Nike กับ Wilson ที่ทำสัญญากับเธอมาได้พักใหญ่ และคงต่อสัญญาระยะยาวกับเธอแน่นอน
ส่วนแบรนด์ที่จะตามมาก็มีตั้งแต่เครื่องประดับ เสื้อผ้า และเครื่องสำอาง ขณะเดียวกันก็ไม่จำกัดอยู่เฉพาะแบรนด์อังกฤษหรือประเทศฝั่งตะวันตก
เพราะการเป็นลูกครึ่งจีน พูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว และพูดถึงครอบครัวฝั่งแม่ในจีนอยู่เสมอ เริ่มทำให้เธอได้รับความสนใจจากชาวจีนแล้ว เบื้องต้นคาดว่าไม่กี่ปีจากนี้ตัวเลขรายได้ของ Emma Raducanu น่าจะแตะ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,300 ล้านบาท) เลยทีเดียว/theguardain, cnn, wikipedia, bbc
I-
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ