กล่าวได้ว่าลมหายใจสำคัญของประเทศไทย ทุกวันนี้อยู่ที่ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหนึ่งที่สำคัญ
รายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทยในปี 2559 ประมาณ 2.52 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ทะลุเป้ารายได้ซึ่งตั้งไว้ที่ 2.4 ล้านล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 32.59 ล้านคน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 9 สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยว 1.65 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 และนักท่องเที่ยวตลาดในประเทศประมาณ 145 ล้านคน/ครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยว 8.66 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และในปี 2560 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าหมายรายได้จาก การท่องเที่ยวที่ 2.77 ล้านล้านบาท ซึ่งนับเป็นเป้าหมายรายได้ที่ค่อนข้างท้าทาย
ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า วิสัยทัศน์สำคัญขององค์กร ที่จะขับเคลื่อนให้รายได้ทางการท่องเที่ยวไปถึงเป้าหมายที่วางไว้นั้น จะถูกผลักดันผ่านกลยุทธ์สำคัญใน 2 เรื่องคือการสร้างการรับรู้และการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม (Preferred Destination) อย่างยั่งยืน และการสร้างการรับรู้ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวคุณภาพ (Quality Leisure Destination) โดยมุ่งเน้นเรื่องการเพิ่มรายได้ทางการท่องเที่ยวมากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว
เน้น Activity-based Tourism มากกว่า Attraction-based Tourism
ททท. ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เพื่อทำความรู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้นผ่านประสบการณ์ทางการท่องเที่ยว เช่น ลองทำอาหารไทย หรือการเรียนมวยไทย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สามารถสร้าง ความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้ ส่งผลให้เขาใช้เวลาอยู่ในไทยมากยิ่งขึ้น และเกิดการใช้จ่ายสูงขึ้นด้วย ทั้งหมดนี้จะถูกนำเสนอผ่านแคมเปญการตลาดของ ททท. “Discover Amazing Stories in Amazing Thailand” ที่จะเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาสัมผัสความหลากหลายของวัฒนธรรมในแต่ละชุมชน ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น แบบที่เรียกว่า “Local Experiences”
ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายสามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ทุกกลุ่ม ดังนั้นการทำการตลาดท่องเที่ยวต้องเจาะแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น เช่น กลุ่ม Golf กลุ่ม Honeymoon & Wedding กลุ่ม Spa & Wellness เป็นต้น โดยออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อให้กลุ่มนักท่องเที่ยวเหล่านี้รู้สึกคุ้มค่ากับการใช้จ่าย เมื่อเทียบกับประสบการณ์ ที่พวกเขาได้รับนำไปสู่การใช้จ่ายที่มากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่เราตั้งไว้คือเน้นเรื่อง Value for Experience มากกว่า Value for Money
สำหรับตลาดท่องเที่ยวในประเทศ ททท. ก็มุ่งเน้นให้เกิดการท่องเที่ยวที่สร้างประสบการณ์ร่วมกับชุมชน ภายใต้แนวคิด “ท่องเที่ยววิถีไทย…เก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้ง” ที่ส่งเสริมให้เกิดการเดินทางภายในประเทศมากยิ่งขึ้น โดยการนำเอกลักษณ์ของไทยเฉพาะถิ่นมาสร้างประสบการณ์และความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว ทำให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชนมากยิ่งขึ้นด้วย
นำเสนอจุดแข็งท่องเที่ยวชุมชน เชื่อมโยงสู่นานาชาติ
ททท.มีแคมเปญการตลาด “Discover Amazing Stories in Amazing Thailand” จึงนำจุดเด่นของประเทศไทยด้านต่างๆ มาเป็นจุดขาย เน้นการเชื่อมโยงกับเครือข่ายทางการท่องเที่ยว
ล่าสุด ททท.เพิ่งเปิดตัวโครงการ The LINK ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวและรายได้ทางการท่องเที่ยว โดยการเชื่อมกลุ่มตลาดคุณภาพในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และอเมริกาไปสู่แหล่งท่องเที่ยวในเส้นทางใหม่ หรือเมืองรองตามโครงการ 12 เมืองต้องห้าม…พลาด เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงชุมชน (Local Tourism) และประสบการณ์การเรียนรู้ตามทิศทางการตลาด Marketing 4.0 ให้นักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางซ้ำ (Re-Visits) และกลุ่มที่ไม่เคยเดินทางมาประเทศไทย (First Visits)
“การจับคู่เมืองมาจากการวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยว เชื่อมโยงกับของดีและจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ เช่น โรมจับคู่กับจังหวัดสุโขทัย เน้นแหล่งดูนก การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ลอสแองเจอลิส สหรัฐอเมริกาจับคู่กับจังหวัดชุมพร เนื่องจากมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชื่นชอบทะเลและ แฟรงเฟิร์ตจับคู่กับจังหวัดพังงา เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบทะเลและการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะพังงามีทะเลที่สวยงามและยังคงความเป็นธรรมชาติ”
ยุทธศักดิ์ อธิบายว่า ชื่อโครงการ The LINK มาจาก L = Local Experiences, I = Innovation คือนวัตกรรมในการทำงาน N = Networking และ K มีความสำคัญมาก คือ Keeping Character หมายถึง การรักษาเอกลักษณ์ เพราะเราเชื่อว่า Character คือเสน่ห์ของชุมชนนั้นๆ โครงการ The LINK นับเป็นแนวทางหนึ่งในการนำสินค้าทางการท่องเที่ยวใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดในระดับสากล ผ่านกิจกรรม Fam Trip โดย ททท.
นำคณะสื่อมวลชนทุกแขนงจากตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกาเดินทางสำรวจแหล่งท่องเที่ยวเชิงชุมชนและร่วมทำกิจกรรมเชิงประสบการณ์แบบ Thainess
การท่องเที่ยวผ่านอาหารไทยและการท่องเที่ยวเชิงกีฬา
อาหารไทยยังคงเป็นจุดขายที่สำคัญ เพราะมีความโดดเด่นเรื่องรสชาติ ปรุงอย่างประณีต จึงเป็นที่มาของโครงการ Thai-Licious ซึ่งมาจากคำว่า Thailand และ Delicious เป็นโครงการที่เชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมการกินแบบไทยๆ เนื่องจากมีอาหารไทยหลายรายการ ที่ชาวต่างชาติหรือแม้แต่คนไทยยังไม่รู้จัก เราจึงใช้เรื่องวัฒนธรรมการกินและอาหารถิ่นมาโปรโมท การท่องเที่ยว นำไปสู่การเดินทางเพื่อไปรับประทานของอร่อยและเกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในท้องถิ่นอีกด้วย
อีกเรื่องหนึ่งที่ ททท.ให้ความสำคัญคือ เรื่องการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) ททท. มุ่งส่งเสริมกิจกรรมกีฬาในระดับนานาชาติเพื่อให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว เช่น การแข่งขันชกมวย พิธีไหว้ครูมวยไทย กิจกรรมวิ่งมาราธอนรายการต่างๆ
“ททท. ยังคงพัฒนาและต่อยอดกิจกรรมต่างๆ ไปข้างหน้า และพยายามเจาะลึกความต้องการของนักท่องเที่ยวในทุกๆ ตลาดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเดินทางและการใช้จ่ายมากที่สุด ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมายังประเทศไทยได้นั้นคงจะหนีไม่พ้นคนไทย วิถีชีวิตความเป็นไทยที่คนไทยทุกคนต้องปฏิบัติและทำหน้าที่เป็น “เจ้าบ้านที่ดี” ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน”
5 ทศวรรษกับบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ปีนี้ ททท. มีอายุครบ 57 ปีแล้ว ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังวิสัยทัศน์ “ททท. เป็นผู้นำในการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม (Preferred Destination) อย่างยั่งยืน”
ด้วยปัจจัยทั้งภายนอกและภายในที่ท้าทายการทำงาน ประกอบกับนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งนำมาเป็นกรอบแนวทางการทำงานในปี 2560 ที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในและเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลกอย่างมีคุณภาพโดยใช้นวัตกรรม
ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประทเศไทยกล่าวสรุปว่า การท่องเที่ยวนับเป็นเครื่องมือหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดย ททท. มุ่งเน้นการดำเนินงานตามพันธกิจขององค์กร นั่นคือ ส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์เพื่อเน้นคุณค่าการท่องเที่ยวของประเทศ สร้างความพึงพอใจแก่นักท่องเที่ยว สร้างมูลค่าเพิ่มและกระจายรายได้อย่างยั่งยืน พัฒนาข้อมูลเชิงลึกด้านความต้องการของตลาดการท่องเที่ยว และพัฒนาองค์กรให้มีสมรรถนะสูง รวมถึงพัฒนาตนเองให้ทันต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทุกสถานการณ์
