สง่า บุญสงเคราะห์ ทำความรู้จักเจ้าของ Moshi Moshi สินค้าราคาหลักสิบ รายได้หลักพันล้าน
Moshi Moshi สาขาแรกและมีพื้นที่ใหญ่สุดอยู่ที่สำเพ็ง และวันนี้ Marketeer มีนัดกับสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI ที่นี่
เขาย้อนอดีตให้ฟังว่าเกิดมาในครอบครัวคนจีน ที่มีพ่อเป็นเซลส์ขายของไปทั่วประเทศ จนในปี 2516 ได้เปิดร้านขายของใช้ประจำวัน เครื่องเขียน และกิฟต์ช็อปเล็ก ๆ อยู่ย่านสี่แยกบ้านแขก ชื่อร้าน “พร้อมภัณฑ์”
จุดเด่นของ “พร้อมภัณฑ์” คือในร้านจะมีสินค้าพวกของขวัญของใช้น่ารัก และเครื่องเขียนมากกว่าสินค้าอื่น ๆ นักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ ในย่านนั้น เช่น บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ศึกษานารี แสงอรุณ จึงเป็นลูกค้าประจำที่สำคัญ
จากร้านค้าปลีก ต่อมาพี่ชายของเขาเริ่มขยายธุรกิจไปเป็นร้านค้าส่ง ส่งสินค้าไปขายตามห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศ
“ตอนเด็ก ๆ ผมชอบเอาสินค้าพวกนี้ใส่ถุงพลาสติกใบใหญ่ไปเดินเร่ขายตามถนนหน้าโรงเรียนต่าง ๆ และตามย่านสำเพ็ง สนุกด้วย ได้เงินช่วยที่บ้านด้วย”
แล้วจากเด็กเดินเร่ขายสินค้ากลายมาเป็น CEO บริษัทสินค้าไลฟ์สไตล์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อย่างไร
จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาเกิดขึ้นในช่วงที่เรียนอยู่ในชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เมื่อเซลส์ที่รับผิดชอบงานขายต่างจังหวัด 2 คนลาออกพร้อมกัน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก และทางครอบครัวก็ไม่สามารถหาคนมาแทนได้แน่นอนในระยะเวลาอันสั้น
ตอนนั้นสง่าเลยตัดสินใจพักการเรียนชั่วคราว เพื่อออกไปช่วยงานที่บ้าน
“ตั้งใจไว้ว่าจะหยุดเรียนก่อนแค่ 6 เดือน หาคนมาแทนได้แล้วจะกลับไปเรียนต่อ แต่ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ผมไม่เคยได้กลับไปเรียนต่ออีกเลย (หัวเราะ)”

ความตั้งใจของเขาในตอนนั้นก็คือต้องการสร้างยอดขายให้มากขึ้น ขยายร้านค้าเพิ่มขึ้น และทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง และที่สำคัญคือคำชมของผู้เป็นพ่อ อยากทำให้ท่านภูมิใจ
การได้เข้าไปเรียนรู้งาน เข้าไปพูดคุยกับลูกค้า ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคผ่านร้านค้าด้วยตัวเองเป็นช่วงเวลาที่มีค่าสำหรับเขาอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยและโหดมากเพราะต้องเดินทางไปทั่วประเทศทั้ง 4 ภาค
“คือเราจะเห็นเลยว่าสินค้าแบบไหนลูกค้าชอบไม่ชอบ สีนี้ใช่ ไม่ใช่ ไอคอนภาษาจีนลูกค้าไม่ชอบนะ ราคาที่โอเคควรจะเป็นเท่าไร”
สินค้าจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มหนึ่งขายได้ด้วยตัวเอง อีกกลุ่มต้องอาศัยแรงเชียร์จากทางร้าน ซึ่งจะเป็นภาระกับร้านค้าเป็นเรื่องที่ต้องเอากลับมาแก้ไขปรับปรุง
ดังนั้น นอกจากดูฝ่ายขายแล้ว สง่ายังได้กลับมาดูในส่วนพัฒนาสินค้าด้วยตัวเอง
“เราต้องการทำให้สินค้านำเซลส์ คือไม่ต้องอาศัยแรงขายจากเซลส์อย่างเดียว เพราะถึงเซลส์ไม่เก่ง เซลส์ขาด แต่สินค้าต้องไปได้ ยังขายดีด้วยตัวมันเอง”
ซึ่งประสบการณ์ในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาได้เอามาใช้กับ Moshi Moshi ในเวลาต่อมา
หลังจากดูแลฝ่ายขายและการตลาดได้ประมาณ 5 ปี ในวันที่เขาอายุไม่ถึง 30 ปี คุณพ่อและพี่ชายจึงไว้วางใจให้สง่าดูแลภาพรวมของบริษัท และดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท กิฟท์แลนด์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจขายส่งของครอบครัวอย่างเต็มตัว
บริษัท กิฟท์แลนด์มีทั้งสินค้าที่ผลิตเอง รับจ้างผลิต เป็นตัวแทนขายสินค้า และมีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศเช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง
“เป็นช่วงที่เหนื่อยและสนุก ด้วยวัยที่ยังหนุ่ม ไฟก็แรง และที่สำคัญเมื่อเราลงไปเรียนรู้งานเองในทุก ๆ จุด ทำให้เข้าใจโจทย์ เข้าใจปัญหาสามารถตอบมันได้ทุกข้อ แล้วค่อย ๆ ถอยออกมาสร้างคนใหม่ไปแทนเรา และมาโฟกัสเรื่องกลยุทธ์ เรื่องคู่แข่ง ยอดรายได้ก็ตามมาทำให้มีกำลังใจต่อเนื่อง”
ในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย กลับต้องเจอกับ “ต้มยำกุ้ง” วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ซึ่งในยุคนั้นมีทั้งลูกค้าที่สั่งของไปมีเงินแต่ไม่ยอมจ่าย และลูกค้าที่ไม่มีเงินจ่ายจริง ๆ

กลยุทธ์ลดราคา 10% ให้กับลูกค้าเป็นครั้งแรกเลยเกิดขึ้น ทำให้ลูกค้าที่ยังพอมีเงินก็ยอมจ่าย มีลูกค้าส่วนน้อยเท่านั้นที่ลดราคาแล้วยังไม่ยอมจ่าย แต่อย่างไรก็ตาม ทำให้บริษัทสามารถมีเงินสดไหลเวียนเข้ามาประคับประคองธุรกิจให้ผ่านไปได้
ในช่วงเวลานั้นสง่าเริ่มมองเรื่องการส่งออก เพราะการที่ค่าเงินบาทลดมันน่าจะเป็นโอกาส จากที่ไม่เคยทำเรื่องส่งสินค้าไปขายต่างประเทศมาก่อน ขายให้ใคร ทำอย่างไร ข้อมูลในเรื่องนี้เป็นศูนย์ เขาได้เข้าไปหาข้อมูลพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของกรมส่งออก กระทรวงพาณิชย์ เริ่มนับหนึ่งกับเรื่องนี้ และได้รับคำแนะนำให้ไปออกงานแสดงสินค้า และเลือกงานแสดงสินค้าที่ฮ่องกงเป็นที่แรก
“วันไปเราแพ็กของใส่เครื่องบินไป พอไปถึงฮ่องกงก็นั่งแท็กซี่ไปงานแสดงสินค้าอย่างทุลักทุเล เพราะของก็เต็มรถ คือเราไม่รู้แม้กระทั่งว่าที่จริงมีคาร์โก้ที่สามารถเอาของไปส่งให้เราจนถึงที่บูทเลย”
ไปแบบใจกล้ามาก ไม่รู้อะไรเลย และในงานต้องเจอคู่แข่งที่มีสินค้าประเภทนี้เต็มไปหมด ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง รู้อย่างเดียวว่าราคาเราสู้ได้ ที่บ้านก็ห้าม แต่ขอลองสักครั้งและคิดว่าถ้าเสียก็คือค่าบูท ค่าเครื่องบิน แต่ถ้าได้มันได้มากกว่าแน่นอน
ผลก็คือ วันแรกเขาเองก็แทบช็อกเมื่อมียอดสั่งของได้เกือบ 10 ตู้คอนเทนเนอร์ จากลูกค้ารายใหญ่ชาวญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ที่เข้ามาสั่งซื้อสินค้ากิฟท์ พวกสมุด ดินสอ กระเป๋าเล็ก ๆ กระจก หวี
“ สินค้าธรรมดาที่ผู้ผลิตในประเทศเขาก็มีมากมาย แต่จุดตัดสินใจที่สำคัญคือ ราคา เพราะตอนนั้นจีนที่น่าจะเป็นคู่แข่งสำคัญของเราในเรื่องราคา ยังไม่เปิดประเทศ การค้าขายกับจีนในยุคนั้นยังไม่ง่าย กับอีกเรื่องคือคุณภาพ เป็นของดีราคาถูกจากไทยแลนด์ที่เขาชอบกันมาก”

เป็นการเปิดตลาดใหม่ และเปิดโลกความรู้ของสง่าครั้งใหญ่เช่นกันที่ได้ไปเห็นสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ได้เรียนรู้ว่าคนประเทศไหน ชอบไม่ชอบสินค้าแบบไหน
และที่สำคัญคือทำให้บริษัทผ่านวิกฤตครั้งนั้นมาได้โดยไม่เจ็บตัว และหลังจากนั้นได้มีการออกงานกิฟต์แฟร์ในประเทศต่าง ๆอย่างต่อเนื่อง และขายได้ทุกงาน
แต่ก็มีพลาด
“ครั้งหนึ่งเราขายไม่ได้เลยคือที่แฟรงเฟิร์ต แฟร์ ในประเทศเยอรมนี ฝรั่งกับสินค้าพวกกิฟต์สไตล์ญี่ปุ่นน่ารัก ๆ ไม่ใช่สไตล์เขา คนยุโรปชอบอะไรที่ออกแบบแปลก ๆ เท่ ๆ มากกว่า”
การรู้จักความต้องการของลูกค้า การให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้า เข้าใจกระบวนการผลิตมากขึ้นเพื่อปรับสินค้าให้ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมทั้งการบริหารจัดการต้นทุน
ทั้งหมดคือประสบการณ์ที่สง่าสะสมก่อนตัดสินใจมาเปิดร้านขายปลีกเองภายใต้แบรนด์ Moshi Moshi (ภาษาญี่ปุน ที่แปลว่าสวัสดี) เมื่อประมาณปี 2559 โดยธุรกิจเดิมให้ครอบครัวรับผิดชอบบริหารต่อ
ธุรกิจขายส่งกำลังไปได้ดี ทำไมต้องมาสร้างแบรนด์ค้าปลีกเอง
สง่าเล่าต่อว่าก่อนหน้านั้นประมาณปี 2557 สินค้าไลฟ์สไตล์เป็นที่นิยมในบ้านเราอย่างมาก มีผู้เล่นรายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาก็ประสบความสำเร็จอย่างดี ขยายสาขาออกไปมากมาย
ในช่วงนั้นเขาได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศจีน แล้วไปเห็นสินค้าไลฟ์สไตล์อีกแบรนด์หนึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เขามั่นใจว่าอีกไม่นานแบรนด์นี้เข้ามาในเมืองไทยแน่นอน
(แบรนด์ดังกล่าวได้เข้ามาในเมืองไทยด้วยการมาตั้งสาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ สาขาศรีนครินทร์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2559)
ถึงแม้ว่ากลุ่มเป้าหมายของกิฟท์กับสินค้าไลฟ์สไตล์ของคู่แข่งจะต่างกัน กิฟท์ของเขาโฟกัสไปที่ลูกค้าอายุ 13-18 ปี แต่สินค้าไลฟ์สไตล์จับกลุ่มลูกค้าอายุ 18-25 ปี แต่สินค้าไลฟ์สไตล์พวกนั้นก็จะมีกิฟท์อยู่ส่วนหนึ่ง
ดังนั้น ถ้าไม่ปรับตัวธุรกิจขายส่งเดิมที่ทำอยู่จะได้รับผลกระทบแน่นอน โดยเฉพาะสินค้าจากจีน ที่สินค้ามีความใกล้เคียงกันมาก เขาเลยตัดสินใจมาสร้างแบรนด์ค้าปลีกเตรียมชนกับคู่แข่งเอง โดยชูจุดเด่นเรื่องคุณภาพ การออกแบบ และราคาที่แข่งขันได้ และเริ่มต้นด้วยราคาสินค้าที่ 20 บาท

2 สาขาแรกของ Moshi Moshi คือที่สำเพ็ง ที่ปีแรกเขาขอครอบครัวใช้พื้นที่ชั้นล่างเพียงชั้นเดียวชั้น 2-4 ยังเป็นออฟฟิศของธุรกิจเดิม (ปี 2565 ที่ผ่านมาเพิ่งขยายเป็น Moshi Moshi ทั้งหมด 4 ชั้น เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย) และที่ห้างแพลทินัม ย่านประตูน้ำ
สินค้าที่วางมีความแตกต่างหลากหลายจากสินค้าเดิมที่เคยมีเกิน 80% เกือบทุกอย่างถูกดีไซน์ใหม่หมด
ประสบการณ์เดิมที่สง่ามีน่าจะทำให้เขาเริ่มธุรกิจใหม่ได้ไม่ยากแต่ Moshi Moshi กลับเจอปัญหาใหญ่เรื่องต้นทุนการผลิต เพราะเป็นสินค้าที่ถูกทำใหม่เพื่อไปขายเพียง 4 สาขา (ในปีแรก) ทำให้ยอดผลิตต่อชิ้นยังน้อยมาก
การขยายสาขาเพื่อขยายสเกลคือบทเรียนครั้งสำคัญ เมื่อห้างใหญ่ ๆ ระดับประเทศบางแห่งไม่ยอมรับ
“ผมเคยคิดว่าการขยายสาขาไม่น่ายาก เรามีเงิน มีสินค้า ต้องการเข้าห้างไหนในกรุงเทพฯ ก็ไม่น่ามีปัญหา แต่หลายห้างในช่วงแรก ๆ ปฏิเสธเรา Moshi Moshi คือแบรนด์จากสำเพ็ง แต่แบรนด์อื่น ๆ ชื่อดังมาจากเมืองนอกเขาก็ต้องเลือกแบรนด์ที่คนรู้จักมากกว่าเข้าไป”
สง่าต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ เมื่อเข้าห้างดังในเมืองหลวงไม่ได้ ก็กลับไปใช้คอนเนกชันเก่าสมัยเป็นเซลส์ขอเข้าห้างในต่างจังหวัดแทน
กลยุทธ์แบบป่าล้อมเมืองก็เกิดขึ้นโดยดึงกลุ่มนักเรียน กลุ่มวัยรุ่นของแต่ละจังหวัดเข้ามาเป็นลูกค้าซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก
“จังหวัดแรกที่ไปเปิดคือห้างเทอร์มินอล 21 โคราช ทำเลที่ได้ก็ไม่ดีนักแต่วันเปิดห้างร้าน Moshi Moshi กลับคึกคักมาก ทำให้เจ้าของห้างรายอื่น ๆ ที่มาแสดงความยินดีกับผู้บริหารของห้างเทอร์มินอลเห็น อย่างเช่นเจ้าของห้างเมญ่าเชียงใหม่ ก็มาเชิญเราไปเปิดที่นั่น หรือการไปเปิดที่แฟรี่พลาซ่า ขอนแก่น ก็สามารถดึงวัยรุ่นเข้ามาได้ ทำให้ห้างระดับทอปของจังหวัดเรียกเราไปคุย”
เป็นการตอบรับที่ดีทำให้ชื่อของ Moshi Moshi เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในจังหวัดต่าง ๆ แล้วในที่สุดก็ได้มาเปิดตัวที่ห้างใหญ่ในกรุงเทพฯ
ปัจจุบันมีร้านค้าปลีก Moshi Moshi จำนวน 106 สาขา, (กทม. 23 สาขา ต่างจังหวัด 85 สาขา) ร้านค้าปลีกแบบมีส่วนลด Moshi Moshi จำนวน 2 สาขา รวมทั้งสิ้น 108 สาขา (ข้อมูล ณ 31 มีนาคม 66)
3 ปีทอง ที่เดินเร็วยังไม่พอ ต้องวิ่งอย่างเดียว ถ้าอยากแซงคู่แข่ง
จากปีแรก (2559) Moshi Moshi มีมาร์เก็ตแชร์เพียง 3% ของสินค้าไลฟ์สไตล์ แต่หลังจากนั้นภายใน 3 ปี สง่าบอกว่าเขาสามารถสร้างมาเก็ตแชร์ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ได้
จากพนักงานที่มีไม่ถึง 50 คน ใน 3 ปีมีเพิ่มเป็นเกือบพันคน ในขณะที่ยอดขายแค่ 50 ล้าน ปีที่ 3 ก็สามารถแตะยอดกว่า 1.7 พันล้านบาท
“แต่เป็น 3 ปีที่ผมเหนื่อยมากจากการขยายสาขา เดินเร็วยังช้า ต้องวิ่งอย่างเดียวแบบไม่หยุดด้วย”
กราฟรายได้กำลังพุ่ง Moshi Moshi กำลังวางแผนจะเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร
แต่ก็ต้องมาเจอกับกับวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563
น่าจะเป็นวิกฤตที่หนักหนาสาหัส เพราะสาขาส่วนใหญ่ของ Moshi Moshi อยู่ในห้างสรรพสินค้า ห้างปิดร้านก็ปิด ห้างเปิดคนก็ยังกลัวไม่ไปเดินอยู่ดี
แต่สง่ากลับบอกว่ามันแค่สะดุด Moshi Moshi กลับผ่านไปได้ และสามารถสร้างกำไรอย่างต่อเนื่องติดต่อกันจนสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เมื่อเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา
กลยุทธ์หลายรูปแบบเพื่อสู้กับวิกฤตออกมาในช่วงนั้น เช่น เริ่มบุกขายทางออนไลน์ ออกสินค้าใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เบาะรองหลัง เบาะรองนั่ง อุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับปลูกต้นไม้ อุปกรณ์แต่งบ้าน แต่งครัว เพราะคนอยู่บ้านมากขึ้น รวมทั้งให้พนักงานไปศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศต่าง ๆ ที่ติดโควิดก่อนเราว่าเขามีสินค้าอะไรออกมาบ้าง
“เป็นข้อดีของโลคอลแบรนด์ที่สามารถปรับตัวได้เร็ว สินค้าหลายอย่างเราใช้เวลาในการตัดสินใจและการผลิตที่เร็วมากไม่เกิน 2 เดือน”
เกมการตลาดที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การเอาสินค้ามาขายลดราคา
“เราเอาสินค้า Best selling items ซึ่งไม่ควรลดราคา เพราะมันขายได้อยู่แล้ว มาปรับราคาลง ผลิตมาทีละมาก ๆ สร้างวอลุ่มให้มันเยอะขึ้น ปรากฏว่าจากที่เราเคยขายได้ 2 หมื่นชิ้นต่อเดือนกลายเป็นเราขายได้เป็นแสนชิ้นต่อเดือนจากการยอมลดกำไร กลายเป็นกำไรมากขึ้นเพราะจำนวนที่มากขึ้น”
ผลประกอบการในปี 2562-2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,699 ล้านบาท, 1,362 ล้านบาท 1,255 ล้านบาทและ 1,895 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิ 311 ล้านบาท, 101 ล้านบาท 131 ล้านบาท และ 253 ล้านบาท ตามลำดับ
ผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ทำรายได้ 562 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 85 ล้านบาท และคาดหวังว่าปีนี้น่าจะทำรายได้สูงที่สุดตั้งแต่เปิดบริษัทมา
สง่าเชื่อว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คือเส้นทางที่จะทำให้เขาสามารถขยายสาขาได้เร็วขึ้น โดยในปีนี้บริษัทฯ วางเป้าหมายจะขยายสาขาใหม่จำนวน 20 สาขา
รวมทั้งขยายโปรดักส์ไลน์ได้หลากหลายขึ้น และที่สำคัญสามารถบุกไปสร้างแบรนด์ในต่างประเทศได้ด้วย โดยประเทศที่วางไว้ในระยะแรกคือกลุ่มเพื่อนบ้าน CLMV ที่มีไลฟ์สไตล์ไม่ต่างจากคนไทย
“เป็นการวางแผนระยะยาวเพราะผมเชื่อว่าต่อไปแบรนด์อื่น ๆ เขาก็ต้องมีการปรับตัว ถ้าเราไม่ปรับก่อนก็อาจจะเล็กลง ๆ ได้ในอนาคต”
สง่าสรุปว่า Key Success ของแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ Moshi Moshi เกิดจากประสบการณ์ในการทำงานของทีมผู้บริหาร ที่ผนึกกำลังทางความคิดกับทีมงานรุ่นใหม่ในการดีเวลลอปเมนต์ทีม และฝ่ายวางกลยุทธ์ รวมทั้งการ Speed ให้ทันกับเทรนด์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น
อย่างเช่นในเร็ว ๆ นี้จะมีแคทิกอรีใหม่เป็นสินค้าเกี่ยวกับสุนัขและแมว ตอบสนองกระแส “Pet Parent” การเลี้ยงสัตว์แบบเลี้ยงลูกกำลังมาแรงไปทั่วโลก
เขาย้ำว่า
“วันนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญในราคาที่ถูกอย่างเดียวต่อไป แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพควบคู่ไปด้วย เมื่อก่อน Moshi Moshi อาจจะทำของดี ราคาถูก ลูกค้าก็พอใจขายได้แล้ว แต่ในวันนี้ ถูก ดี และต้องสวยดูทันสมัยด้วย ถ้าตอบโจทย์ใน 3 เรื่องนี้ได้ ตลาดก็จะเป็นของเรา”

สง่า บุญสงเคราะห์ ทิ้งท้ายว่า
“สำหรับผมทำงานมากว่า 40 ปี ปัญหามีทุกวัน ปัญหาเป็นเรื่องปกติ เลยไม่ได้คิดว่าต้องเครียด ก็ไล่แก้ไปเรื่อย ๆ จบก็แก้กันใหม่ เลยคิดว่าไม่กลัวปัญหา และอยู่กับมันได้ ถึงแก้ได้ไม่ทั้งหมด แต่ก็จะเกิดความเสียหายกับงานน้อยที่สุด”
หลังจากล่ำลากัน เขายังหันมาบอกกับ Marketeer ด้วยเสียงหัวเราะว่า เดี๋ยวเปิดประตูห้องนี้ออกไป ปัญหาก็มายืนรออยู่ข้างนอกแล้วครับ
เบื้องหลังการสร้างแบรนด์ Moshi Moshi ไม่ได้ง่าย สวยงาม น่ารัก เหมือนสินค้า คิขุ คิขุ ตามชั้นต่าง ๆ ที่วางโชว์เอาไว้เลยจริง ๆ ♦
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
