“บอกก่อนนะคะ ใครที่จะมาทำอาชีพสัตวแพทย์ ต้องอึด ถึก ทน เมื่อก่อนตอนเช้า ๆ ยังเคยบอกลูกว่าแม่ไปไถนาก่อนนะ (หัวเราะ)”
สพ.ญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล หรือ “หมอกิ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ จำกัด เริ่มต้นการสนทนากับ Marketeer อย่างอารมณ์ดี
ในวัย 64 ปี คุณหมอยังคงคล่องแคล่ว และกระฉับกระเฉงอย่างมากทีเดียว
หมอกิเล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า เธอเป็นลูกสาวของแม่ค้าร้านขายรองเท้าเล็ก ๆ ในย่านบางลำพู คุณแม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เก่งและขยันอย่างมากเพื่อให้ลูกมีการศึกษา และเรียนจบระดับมหาวิทยาลัย
การตัดสินใจเรียนในคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ของหมอกิอาจจะเป็นเพราะเห็นความรักความเมตตาของผู้เป็นแม่ที่มีต่อหมาแมวแถวบ้าน และกลายเป็นความรักความผูกพันกับสัตว์ที่ซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว
“คุณแม่เป็นคนรักสัตว์มาก เรียกว่าเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวทั้งซอย หมาประมาณ 10 ตัว แมวอีก 20-30 ตัวที่คอยให้อาหารเป็นประจำ พวกหมาจรที่อาศัยแถวรางรถไฟตรงถนนเพชรบุรี แม่ก็เคยขับรถไปให้อาหารอยู่พักหนึ่ง จนท่านอายุมากขึ้นก็ไปให้ไม่ไหว”
พอเรียนจบก็สมัครเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลสัตว์เล็กที่จุฬาฯ ดูแลหมาแมวเป็นหลัก
จากคลินิกรักษาสัตว์เล็ก ๆ ย่านสุขุมวิท
จุดเปลี่ยนครั้งแรกในชีวิต เกิดขึ้นเมื่อมีรุ่นพี่ชวนไปทำคลินิกรักษาสัตว์ตรงซอยสุขุมวิท 22 เป็นคลินิกเล็ก ๆ เปิด 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม
เมื่อลูกค้าเริ่มเยอะขึ้นก็ขยายไปเปิดกลางวันด้วย แต่ 2 ทุ่มก็ไม่เคยได้กลับบ้าน 3-4 ทุ่มยังไม่เคยได้พัก บางวันกลับบ้านแล้วก็ถูกโทรตามเพราะมีเคสด่วนต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งในช่วงนั้นจะเป็นสุนัขประมาณ 90%
“คือถ้าเราเป็นหมอที่ดี ต้องใช้คำนี้นะ เขาก็จะช่วยกันบอกต่อแบบปากต่อปาก ลูกค้าก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่แน่นอนต้องใช้เวลา เพราะสมัยนั้นไม่มีการทำตลาด ไม่มีโซเชียลช่วยประชาสัมพันธ์เหมือนสมัยนี้”
จุดเปลี่ยนชีวิต จุดเริ่มต้นของโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
คุณหมอสะสมเงินทุนสะสมประสบการณ์นานถึง 10 ปี จึงตัดสินใจมาเปิดโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อเมื่อปี 2537 ในตึกแถว 3 คูหา บริเวณซอยทองหล่อ 9
ที่นี่เธอตัดสินใจเปิดเป็นโรงพยาบาลสัตว์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง เป็นแห่งแรกในเมืองไทย
นอกจากลูกค้าของคลินิกเดิมที่ตามมา ลูกค้าส่วนใหญ่ก็มาจากคนเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวในย่านนั้น
แต่จุดขายที่แตกต่างในเรื่องเวลาทำให้มีคนโฆษณาให้ฟรี ๆ
“ต้องขอบคุณทาง จส. 100 ที่ช่วยโฆษณาให้เราทางอ้อม ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุกับสัตว์ในช่วงเวลากลางคืน เมื่อมีการแจ้งเข้ามาทางรายการ ดีเจก็มักจะบอกว่าให้ไปที่โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อเพราะเปิดรับรักษา 24 ชั่วโมง”
ลูกค้าก็ยิ่งไหลเข้ามา เพราะมีดีมานด์อยู่แล้ว แต่ไม่มีใครซัปพลาย เป็นช่วงเวลาที่หมอกิยอมรับว่าทำงานหนักมาก บางทีมากกว่า 20 ชั่วโมงต่อวัน
จนต่อมาต้องขยายโรงพยาบาลมายังตึกแถวฝั่งตรงข้ามเพิ่มอีก 6 คูหาเป็น 9 คูหา
จากนั้นจนถึงสิ้นปี 2566 นี้ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อจะมี 19 สาขาที่เมืองไทย และที่เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม อีก 1 แห่ง
มีหมอ Full Time ประมาณ 140 คน ถ้ารวม Part Time ก็เกือบ 200 คน พนักงานอีก 800 รวมทั้งหมดประมาณ 1,000 คน
Key Success สำคัญของความสำเร็จ
1. การให้ความสำคัญกับระบบการจัดเก็บข้อมูล โดยทุ่มทุนในเรื่องระบบ HIS (Hospital Information Systems) เข้ามาเป็นเครื่องมือในการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อให้แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของสัตว์ที่ป่วยได้ เพื่อที่จะวางแผนการรักษา และประเมินรูปแบบการดูแลผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว
2. เป็นโรงพยาบาลสัตว์แห่งแรก ๆ ที่เซตมาตรฐานระบบ ISO เพื่อลดปัญหาหรือข้อขัดแย้งในการดูแลรักษา
3. ให้ความสำคัญในการพัฒนาคน การส่งสัตวแพทย์เรียนต่อทางด้านการรักษาโรคเฉพาะทาง หรือจัดตั้ง Thonglor Academy ที่เป็นเหมือนสถาบันอบรมพนักงาน เพื่อเตรียมคนเข้าสู่ธุรกิจนี้ ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10 ปี
หมอกิบอกว่า
“การพัฒนาคนเป็น mission สุดท้ายของพี่ เราสร้างงานมามากแล้ว วันนี้หน้าที่หลัก คือ ต้องการพัฒนาคนให้เก่งขึ้น”
4. ต้องมี Passion ในการทำงาน ต้องไปให้สุดในทุกเรื่อง เป็นคำสอนหนึ่งที่คุณหมอพยายามถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
“เครื่องมือต่อให้ดีและทันสมัยแค่ไหนสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือ หมอต้องมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำให้เขาพ้นทุกข์ด้วย”
5. เป็นธุรกิจที่เติบโตตามเทรนด์ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อ้างอิงข้อมูลจาก Euromonitor ไทยนับเป็นประเทศที่มีอัตราเติบโตของตลาดการดูแลสัตว์เลี้ยง (Pet Care) สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน มีมูลค่าตลาดรวม 5.5 หมื่นล้าน
ข้อมูล จากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อระบุว่า ในปี 2561 – ปัจจุบัน 5 อันดับแรกของสัตว์ที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาลสัตว์ มีดังนี้ สุนัข 100,000 ตัว แมว 60,000 ตัว Exotic 3,500 ตัว กระต่าย 2,300 ตัว และนก 1,800 ตัว
ได้โอกาสต่อยอดแบรนด์
จากแบรนด์ที่แข็งแรงมานานถึง 30 ปี สร้างโอกาสให้โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อสามารถต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องออกไปในหลาย ๆ เรื่อง เช่น
การสร้างแบรนด์ของตัวเอง ‘Dr. Choice’ (ดร.ช๊อยส์) สินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียม เช่น ขนมสันในไก่ สำหรับสุนัข ผลิตภัณฑ์แชมพู แผ่นรองซับสำหรับสัตว์เลี้ยง ทรายแมวจากธรรมชาติ
การร่วมทุนกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียง เช่น การร่วมทุนกับ “นอติลุส” เปิดตัว “เรมี่” ขนมสำหรับน้องแมว และอาหารสำหรับน้องหมา
การเข้าไปทำธุรกิจทางด้านประกันชีวิตสัตว์เลี้ยง Petsurance
รวมทั้งการขยายสาขาโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อไปประเทศเวียดนาม ที่ความรู้ทางด้านสัตวแพทย์ยังตามหลังประเทศไทยหลายปี
“มั่นใจไหมในการร่วมลงทุนกับพาร์ตเนอร์ที่เวียดนาม ก็ไม่ได้มั่นใจหรอกค่ะ แต่คิดว่าถ้าเราจะเป็นผู้นำก็ต้องกล้าไปก่อนคนอื่น ต้องไปเรียนรู้ ลองถูกลองผิด และเชื่อว่าถ้าเราทำของดีไปขาย ไม่ช้าก็เร็วกลุ่มลูกค้าก็มาเอง”
เมื่อถามว่าปัญหาและอุปสรรคในการทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงคืออะไร หมอกิ ตอบว่า อาจจะไม่ใช่ปัญหาและอุปสรรค แต่เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ และตามให้ทันกับพฤติกรรมของเจ้าของสัตว์เลี้ยง
“ทุกวันนี้คนไม่ได้แค่เลี้ยงหมาแมวเป็นลูกเท่านั้น แต่นับวันความต้องการของคนจะเพิ่มมากขึ้น ถึงขั้นที่ว่าต้องการความลักชัวรีทั้งหลายให้สัตว์ทุกอย่างด้วย รวมทั้งการดูแลรักษาพยาบาล”
โลกของคนกับสัตว์เลี้ยงในยุคหน้าจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ตลาดการดูแลสัตว์เลี้ยง (Pet Care) จะเติบโตไปอย่างไร จะเห็นโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ทองหล่ออีกหรือไม่
วันนี้เธอยังมีทายาทอีก 2 คนที่จะเข้ามาช่วยกันขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปคือลูกชายคนโต “พูลเพิ่ม ทองเจริญพูลพร” ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี และ ลูกสาว “พิมพิกา ทองเจริญพูลพร” ผู้จัดการฝ่ายบริหารสัตวแพทย์และ E-commerce
“พอลูก ๆ เขาเรียนจบ มาช่วยเราทำงาน โลกของพี่ก็ใบใหญ่ขึ้นนะคะ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ จากลูก ในขณะเดียวกันเขาก็ได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่มีในตำราจากเราด้วย”
The Next Chapter ของโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ โดยคนรุ่นที่ 2 ครอบครัวจะเติบโตอย่างยั่งยืนอย่างไรในอนาคต เป็นเรื่องที่น่าติดตามทีเดียว
“วันก่อนลูกสาวถามว่า ดีใจมั้ยแม่ ตอนนี้มีคนมาช่วยแม่ไถนาอีก 2 คนแล้ว” คุณหมอจบประโยคนี้พร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนขอตัวไปเอา “คุณเจมส์” สุนัขตัวโปรด ที่ดูจะคุ้นเคยกับการแอคชั่น เป็นอย่างดี มาร่วมเฟรมถ่ายภาพด้วยกัน
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ