การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหลังจากที่ไลน์แมนวงใน และไลน์ ประเทศไทย เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ Rabbit LINE Pay จากเอไอเอส และวีจีไอ เมื่อ 31 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ประกอบด้วย

1. Rabbit LINE Pay กลับมาใช้ชื่อ LINE Pay ซึ่งเป็นชื่อเดิมของแพลตฟอร์ม ที่ไลน์ประเทศไทยนำมาสู่ตลาดในปี 2558

และในปี 2559 เปลี่ยนชื่อเป็น Rabbit LINE Pay หลังร่วมทุนกับ แรบบิท เพย์ ซิสเทม บริษัทลูกของบีทีเอสที่ให้บริการบัตรแรบบิทเพื่อขยายฐานลูกค้าและขอบเขตการให้บริการ

และตั้งชื่อบริษัทเป็น บริษัท แรบบิท -ไลน์ เพย์ จำกัด

โดยบริษัท แรบบิท -ไลน์ เพย์ จำกัด จะให้บริการในส่วนของแพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ทั้งหมด

ส่วนแรบบิท เพย์ ซิสเทม ให้บริการผ่านบัตรแรบบิทไลน์เพย์

ก่อนที่บีทีเอสโอนหุ้นบริษัท แรบบิท เพย์ ซิสเทม ให้กับวีจีไอ บริษัทในเครือ

 

2. mPay Wallet ของเอไอเอสยุติการให้บริการในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 การยุติให้บริการ mPay Wallet มาจากเอไอเอส หนึ่งผู้ถือหุ้นบริษัท แรบบิท-ไลน์ เพย์ จำกัด ขายหุ้นทั้งหมดให้กับไลน์แมนวงใน และไลน์ ประเทศไทย

โดยเอไอเอสเข้ามาถือหุ้นในบริษัท แรบบิท -ไลน์ เพย์ จำกัด ในปี 2561

และลดบทบาท mPay ในส่วนที่ให้บริการกับลูกค้าส่วนบุคคลลงแต่ยังคงไว้อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าเก่า เพื่อผันตัวเองเป็น Payment Gateway Platform ในกลุ่มลูกค้า B2B (Business to Business) เพื่อไม่ให้ขาธุรกิจไปทับซ้อนกับ Rabbit LINE Pay ที่เข้าไปถือหุ้น เพราะ mPay Wallet ให้บริการกับลูกค้าส่วนบุคคล

จนในปัจจุบันเอไอเอสได้ขายหุ้น Rabbit LINE Pay ออกทั้งหมด

และยุติบริการ mPay Wallet ด้วยเช่นกัน

ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการแข่งขันที่สูงในธุรกิจนี้

เพราะในวันนี้ตลาดอีวอลเลตมียักษ์ใหญ่อย่างทรูมันนี่ ที่วางเป้าหมายขยายฐานลูกค้าในไทย 35 ล้านรายในสิ้นปีนี้

และคาดว่าภายในปี 2568 จะมีลูกค้าที่เป็น Active User ใช้ประจำทุกเดือน 50% ของจำนวนประชากรในประเทศ

ผ่านกลยุทธ์ในการเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางชำระเงินอย่างเซเว่นอีเลฟเว่น และอื่น ๆ ที่ให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้งานได้เป็นประจำในทุก ๆ วัน

ไปพร้อม ๆ กับการขยายความร่วมมือการใช้งานไปยังพันธมิตรต่าง ๆ เช่น การร่วมมือกับ Alipay ผ่านโครงการ Alipay+-in-China (A+China Program) ให้ผู้ใช้งานทรูมันนี่ในไทยสามารถไปใช้จ่ายในจีนผ่านแพลตฟอร์มได้

อย่างไรก็ดี ตลาดอีวอลเลตในประเทศไทยในกลุ่มนอนแบงก์มีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี

ในปี 2563 มีมูลค่าการใช้จ่าย 276,395.94 ล้านบาท

ปี 2564 มูลค่าการใช้จ่าย 412,152.25 ล้านบาท

ปี 2565 มูลค่าการใช้จ่าย 529,307.56 ล้านบาท

ครึ่งปีแรก 2566 มูลค่าการใช้จ่าย 295,999.06 ล้านบาท

และมีผู้ลงทะเบียนอีวอลเลตรวมทุกแพลตฟอร์มจำนวน 76.68 ล้านบัญชีผู้ใช้ในปี 2563 ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 108.21 ล้านบัญชีผู้ใช้ในไตรมาสสองปี 2566


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer