ดุสิตธานี โฉมใหม่ ความท้าทายอีกครั้งของ ศุภจี สุธรรมพันธ์ุ กำลังเริ่มต้น
พฤษภาคม 2562 โรงแรมดุสิตธานี สูง 23 ชั้นเริ่มทยอยทุบทิ้ง
วันนี้ดุสิตธานีโฉมใหม่ สูง 39 ชั้น กำลังผงาดขึ้นมาแทนที่
เกือบ 6 ปี กับวันที่รายได้หลักหายไป และวิกฤตโควิด-19 เข้ามาซ้ำเติม
ปี 2563 บริษัทขาดทุนสูงที่สุดถึง 1,011 ล้านบาท และในปี 2566 ยังมีตัวเลขขาดทุนที่ 595 ล้านบาท
โรงแรมใหม่เปิดตัวพร้อม ๆ กับคู่แข่งรายใหญ่ ส่วนเฟส 2 ปีหน้าทั้งอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย และศูนย์การค้า ก็ต้องเผชิญหน้ากับโครงการต่าง ๆ มากมายบนถนนพระราม 4 ที่กำลังเป็นทำเลทองฝังเพชรของกรุงเทพฯ
ได้เวลาศุภจี สุธรรมพันธุ์ CEO หญิงเก่งของดุสิตธานี พิสูจน์ความยอดเยี่ยมของเธออีกครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2559 วันที่ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ เข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)
การทุบทิ้งโรงแรมดุสิตธานีเพื่อไปผนึกกำลังร่วมกับบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา เพื่อสร้าง “ดุสิต เซ็นทรัลพาร์ค” โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ มูลค่า 46,000 ล้านบาท เพื่อลดความเสี่ยงด้านรายได้ในอนาคต ที่กลุ่มดุสิตจะไม่ต้องพึ่งรายได้จากโรงแรมเพียงทางเดียวอีกต่อไป
คือโจทย์สำคัญที่เธอรับมาจากท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี
ในช่วงระยะเวลาการก่อสร้างโรงแรมใหม่รายได้หลักที่มาจากตัวโรงแรมต้องขาดหายไป ดังนั้น การไดเวอร์ซิฟายไปยังธุรกิจอื่นเพื่อสร้างรายได้เป็นแนวทางที่ถูกวางไว้ชัดเจน
ในขณะที่การขยายธุรกิจใหม่ ๆ กำลังเริ่มต้น เช่น ด้านโรงแรมก็ขยายไปรับจ้างบริหารมากขึ้น เพิ่มแบรนด์ต่าง ๆ มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ต่างกันออกไป
มีการตั้งบริษัท ดุสิตฟู้ดส์ โดยเข้าไปซื้อหุ้นประมาณ 26% ในบริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารแห้งรวมถึงเครื่องปรุงรสให้กับบริษัทข้ามชาติชั้นนำ
เปิดบริษัทสร้างแบรนด์อาหารออแกนิกส์ และตั้งบริษัทรับทำธุรกิจจัดเลี้ยง ทำความสะอาด รวมทั้งเข้าไปร่วมทุนกับ บมจ. ออริจิ้น ทำโครงการคอนโดที่ศรีราชา
ทุกอย่างกำลังเทกออฟ ตั้งแต่ปี 2560-2562 รายได้และกำไรของดุสิต ธานี เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
แต่ในปี 2563 ก็ต้องเจอกับวิกฤตโควิด-19

ภาพที่ CEO ลงมายืนเคียงข้างพนักงานเพื่อทอดไข่ดาว ขายข้าวกล่อง ทำส้มตำ ขายก๋วยเตี๋ยวเรือ ปลูกข้าวปลูกผักตามสาขาต่าง ๆ ตามแนวทางสาขาไหนมีอะไรดีเป็นจุดเด่น ก็ให้เอาออกมาขายหารายได้
Marketeer เคยถามว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น
เธอบอกว่าต้องการเป็นกำลังใจให้พนักงานในวันที่องค์กรลำบากสุด ๆ เป็นการช่วยทุกคนให้ใจชื้นขึ้น ที่อย่างน้อยก็มีผู้บริหารอยู่ข้าง ๆ

สิ้นปี 2563 กลุ่มดุสิตธานี ขาดทุนมากเป็นประวัติการณ์ถึง 1,011 ล้านบาท
ช่วงวิกฤตโควิด-19 เธอยังใช้ 2 กลยุทธ์หลักในการทำงาน เพื่อ Move on คือ 1. การสร้างความสมดุลในเรื่องรายได้ทั้งในและนอกประเทศ
โดยการขยายโรงแรมในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเพราะมองว่าในวิกฤตธุรกิจโรงแรมยังมีโอกาสใน 3 เรื่องหลัก ๆ คือ 1. คนจะสนใจในเรื่อง Wellness 2. ต้องการ Unique experience 3. การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ดังนั้น ถ้าจะเปิดโรงแรมในช่วงวิกฤต ต้องอยู่ใน 3 คาแรกเตอร์นี้มีนักท่องเที่ยวแน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องหยุด

ปัจจุบัน ดุสิตธานี มีธุรกิจโรงแรม รีสอร์ตและวิลล่าหรู ภายใต้ 8 แบรนด์ (เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์, ดุสิตธานี, ดุสิต สวีท, ดุสิต คอลเลคชั่น, ดุสิตดีทู, ดุสิตปริ๊นเซส, อาศัย, และ อีลิธ ฮาเวนส์) กว่า 300 แห่งใน 18 ประเทศทั่วโลก
2. ไดเวอร์ซิฟายไปยังธุรกิจอื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
ธุรกิจอาหารของดุสิตธานีกำลังไปได้ดี สามารถสร้างรายได้แตะหลักพันล้านในปีที่ผ่านมา จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจผลิตเบเกอรี่และแฟรนไชส์ร้านขนมอบและธุรกิจให้บริการจัดหาอาหารแก่โรงเรียนนานาชาติชั้นนำในประเทศไทย กัมพูชา และเวียดนาม
ในปี 2566 ที่ผ่านมารายได้ 6,410 ล้านบาท มาจาก 5 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจโรงแรม 4,390 ล้านบาท ธุรกิจการศึกษา 400 ล้านบาท ธุรกิจอาหาร 1,230 ล้านบาท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 42 ล้านบาท และธุรกิจอื่น ๆ 339 ล้านบาท
แต่ดุสิตธานียังมีตัวเลขที่ขาดทุนถึง 595 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขขาดทุนที่ลดลงจากปี 2563 และ 2564 ที่เคยขาดทุนสูงถึง 1,011 ล้านบาท และ 945 ล้านบาท ตามลำดับ
รายได้ของโรงแรมใหม่ที่เปิดให้จองห้องพักตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 รายได้จากการขายพื้นที่อาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัยในเฟสต่อไปของดุสิตเซ็นทรัลปาร์ค คือ ความหวังที่จะกลับมาอีกครั้งในเรื่องผลประกอบการที่ดี

แต่การกลับมาครั้งนี้ดุสิตธานียังจะต้องเจอกับศึกหนัก
เพราะวันนี้ถนนพระราม 4 คือทำเลทองฝังเพชร ที่มิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่มีทั้งอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย และศูนย์การค้า หลายโครงการ
เฉพาะโครงการของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดีที่เริ่มปักหลักตั้งแต่สามย่านมิตรทาวน์ยิงยาวไปจนถึงสี่แยกคลองเตยเลยไปถึงศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ก็มีประมาณ 6 โครงการ ONE BANGKOK โครงการเดียว มีอาคารสำนักงานถึง 5 อาคาร โรงแรมถึง 5 โรงแรม รวมทั้งศูนย์การค้าขนาดใหญ่
เมื่อดุสิตธานีโฉมใหม่ประกาศพร้อมจะเปิดตัวในเดือนกันยายน The Ritz-Carlton Bangkok, Andaz One Bangkok 2 ในโครงการใน ONE BANGKOK ก็ออกมาแถลงข่าวพร้อมเปิดตัวในไตรมาส 4 ของปีนี้เช่นกัน
ในขณะที่บนถนนอีกด้าน “นารายณ์” โรงแรมเก่าแก่คู่กับถนนสีลม ก็กำลังทุบทิ้งโครงและเร่งพัฒนาโรงแรมนารายณ์โฉมใหม่อย่างเร่งรีบ
ส่วนค่าย แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ก็เตรียมเปิดโรงแรมแกรนด์ “เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี กรุงเทพฯ” ในช่วงไตรมาสแรกปี 2568 เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ศุภจีมั่นใจว่ารูปโฉมโรงแรมใหม่ที่ยังคงรักษาเสน่ห์ความเป็นไทยประยุกต์และร่วมสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ของดุสิตธานี และเสริมด้วยความก้าวหน้าล้ำสมัยของเทคโนโลยียังเป็นจุดขายที่สำคัญ เธอเคยกล่าวว่า
“ความท้าทายอย่างมาก ๆ สำหรับตัวเองก็คือทำอย่างไรถึงจะสามารถบริหาร ให้ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค กลายเป็นแลนด์มาร์กที่ดีแห่งหนึ่งของโลกเหมือนที่ดุสิตธานีเคยทำไว้”
คือความท้าทายอีกครั้งของ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ผู้หญิงไทยคนแรกที่เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารของไอบีเอ็ม บริษัทด้านไอทีรายใหญ่ของโลก และเคยเป็น CEO หญิงที่เข้าไปกอบกู้สถานการณ์ขาดทุนหนักของบริษัทไทยคม
ภารกิจครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของดุสิตธานีกำลังเริ่มต้น
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
