Trend / ปี 1999 ถือเป็นปีสุดท้ายก่อนเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ โดยตลอดปีมีหลายอย่างเกิดขึ้น เช่น การเปิดตัวสกุลยูโร ความหวาดกลัวปัญหา Y2K ความโด่งดังของเพลง Hit Me Baby One More Time ของ Britney Spears

และการกวาดทั้งเงินทั้งกล่องของหนัง The Matrix ภาคแรก ส่วนแวดวงเทคโนโลยีการสื่อสาร Nokia ได้เปิดตัว Nokia 3310 โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบปุ่มกดพร้อมเกมงู  

ตีกรอบลงมาอยู่ที่เฉพาะตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ แม้ตัวบริษัท Nokia ก็เปลี่ยนไปเป็นบริษัทโทรคมนาคมหลังปรับตัวตามตลาดสมาร์ตโฟนไม่ทัน

และขายธุรกิจแบรนด์โทรศัพท์เคลื่อนที่ให้ HMD ไปแล้ว แต่ Nokia 3310 ก็ยังติดทอป 10 โทรศัพท์เคลื่อนที่ขายดีสุด

ด้วยยอดขายมากถึง 160 ล้านเครื่องทั่วโลก จนในปี 2024 HMD กลับมาผลิต Nokia 3310 ออกวางจำหน่ายอีกครั้ง โดยเป็นรุ่นอัปเดต

เรื่องนี้มีความน่าสนใจ เพราะคือการฉลองครบรอบ 25 ปีของอุปกรณ์สื่อสารรุ่นดัง ในช่วงที่โทรศัพท์มือถือแบบปุ่มกดใช้งานได้จำกัด แค่โทรเข้า-ออก หรือเป็นแค่ “มือถือโง่” (Dumbphone) ที่กำลังกลายเป็นเทรนด์ขึ้นมาพอดี 

มีการคาดการณ์ว่า สิ้นปีนี้มูลค่าตลาด Dumbphone จะอยู่ที่ 10,600 ล้านดอลลาร์ (ราว 389,000 ล้านบาท) จากการที่คนทั่วโลกบางส่วนกลับไปโทรศัพท์มือถือแบบเก่า เพื่อลดความเครียดจากการได้รับข้อมูลข่าวสาร

และเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ โดยกลุ่มที่ใช้ Dumbphone กันมากสุดคือ Gen Z ที่อายุระหว่าง 12-27 ปี ซึ่งมีทั้งใช้แบบสุดโต่งถึงขนาดแทบจะเลิกใช้ Smartphone ไปเลย หรือ แค่ใช้ Dumb Phone ชั่วคราว  

นี่แสดงให้เห็นว่า Gen Z ที่โตมากับ Smartphone เห็นว่าการใช้อุปกรณ์สื่อสารประเภทนี้มากเกินไปนั้นเป็นผลเสียต่อชีวิต และเห็นว่า Dumbphone อาจเป็นทางออกหรือ Safe Zone

กลุ่มลูกค้าของ Dumbphone ไม่ได้มีแค่ Gen Z เท่านั้น แต่ยังมีผู้สูงอายุที่ใช้อุปกรณ์สื่อสารแค่ไว้ใช้โทรเข้าออก ผู้ทำงานภาคเกษตรหรือกิจการก่อสร้างที่อยากได้อุปกรณ์สื่อสารที่ทนทาน

และผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมีเงินแค่พอซื้อ Dumbphone ราคาย่อมเยา ที่เทียบเป็นเงินไทยราคาอยู่พันบาทต้น ๆ เท่านั้น

แม้เป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche) ที่มีอัตราเติบโตน้อย กินสัดส่วนตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมด ไม่ถึง 10% แต่ Dumbphone ซึ่งเรียกอีกชื่อว่า Feature Phone ก็มีความหลากหลาย

มีทั้งรุ่นราคาถูก สำหรับคนที่ฐานะยากจน หรือคนที่แค่ต้องการใช้แล้วทิ้งเลื่อนสู่รุ่นที่เป็นสินค้าแฟชั่น สำหรับกลุ่มมีกำลังซื้อที่อยากตามเทรนด์แฟชั่นยุค Y2K เช่น Dumbphone แบบฝาพับที่แบรนด์แฟชั่น Bodega จับมือกับแบรนด์เบียร์ชื่อดังอย่าง Heineken

หรือรุ่นพรีเมียม ราคาหลักหมื่นบาท อย่าง Dumbphone แบรนด์ Punkt และแบรนด์ Light Phone  ซึ่งแม้เป็นแบบจอสัมผัส แต่คงความเป็น Dumbphone ไว้ด้วย แสดงผลเป็นขาวดำ สามารถโทรเข้าโทรออกได้ และมีแอปใช้งานได้จำกัด

อย่างไรก็ตาม ในอนาคต Dumbphone จะยังเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มต่อไป เพราะลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่มีรายได้น้อย หรือลูกค้าทั่วไปที่มีกำลังซื้อก็ใช้เป็นเครื่องเสริมเท่านั้น

อัตราการเติบโตจึงน้อยและกำไรก็น้อย จนกล่าวได้ว่าเป็นสินค้าเทคโนโลยีแบบผีดิบหรือ Zombie Tech ที่แม้ไม่ตายก็คงไม่โตไปมากกว่านี้

ทำให้แบรนด์เทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Apple และ Samsung คงมองข้าม เพราะไม่เห็นประโยชน์ทางธุรกิจ ดังนั้น แบรนด์ในตลาดนี้จึงมีแต่แบรนด์เล็ก และแบรนด์ผลิตตามสเปกที่สั่ง ไปจนถึงแบรนด์ระดับกลาง ๆ อย่าง Nokia

สำหรับในกรณีของ Nokia การออก Dumbphone รุ่น Nokia 3310 ในเวอร์ชั่นอัปเดตออกมา ถือเป็นแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะช่วยโปรโมตแบรนด์ ในฐานะที่เคยเป็นเบอร์ใหญ่ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่มาก่อน

และน่าจะเป็นตัวดึงให้ผู้บริษัทขยับไปซื้อ Smartphone รุ่นราคากลาง ๆ ที่ผลิตออกมาด้วย/bbc, thegaurdian, statista


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer