Walmart สร้างความใหญ่ด้วยแนวคิด ”ลดสุดตัว“ จนกลายเป็นค้าปลีกใหญ่สุดของอเมริกา
หากพูดถึงร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ในประเทศไทย หลายคนคงนึกถึง Big C และ Lotus ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่หากเทียบกับ Walmart ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกของสหรัฐอเมริกาแล้ว ต้องบอกว่าขนาดและอิทธิพลนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ในบทความวันนี้เราอยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับ Walmart ให้มากขึ้น จากจุดเริ่มต้นร้านขายของชำเล็ก ๆ สู่ห้างค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกามูลค่ากว่า 643,860 ล้านดอลลาร์ Walmart สร้างธุรกิจอย่างไรให้ประสบความสำเร็จถึงระดับสูงสุดได้ขนาดนี้ เชื่อว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
Sam Walton ชายผู้เริ่มธุรกิจด้วยเงินเพียง 5,000 ดอลลาร์
Sam Walton เกิดที่เมืองคิงฟิชเชอร์ รัฐโอคลาโฮมา ในปี 1918 และใช้ชีวิตวัยเด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่ในโคลัมเบีย รัฐมิสซูรี Sam Walton จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมฮิคแมน และต่อมาก็จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมิสซูรี
Sam Walton ผู้ก่อตั้ง Walmart: David Perell
Sam เริ่มอาชีพของเขาในตำแหน่ง ผู้จัดการฝึกหัด ที่ร้าน JC Penney ในเมืองเดส์โมนส์ รัฐไอโอวา ก่อนที่จะได้งานแรก วอลตันมีความกระตือรือร้นในงานของเขา แต่เขาไม่เคยเป็นพนักงานที่ละเอียดรอบคอบที่สุดคนหนึ่งของบริษัท JC Penney เขาเกลียดการให้ลูกค้าต้องรอในขณะที่เขาต้องวุ่นวายกับเอกสาร
ดังนั้น หนังสือของเขาจึงยุ่งวุ่นวาย เจ้านายของเขาถึงกับขู่จะไล่เขาออกโดยบอกว่าเขาไม่เหมาะกับงานค้าปลีก วอลตันเอาตัวรอดมาได้ด้วยความสามารถของเขาในฐานะพนักงานขาย และเขาได้รับคอมมิชชันเพิ่มประมาณ 25 ดอลลาร์ต่อเดือนจากเงินเดือนพนักงานใหม่ของเขา
Walton ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพสหรัฐอเมริกาในปี 1942 และรับใช้ชาติในตำแหน่งเจ้าหน้าที่สื่อสารในหน่วยข่าวกรองกองทัพตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่ออายุได้ 27 ปี Sam Walton ได้นำเงินของตัวเอง 5,000 ดอลลาร์และเงินที่ยืมมาจากพ่อตาอีก 20,000 ดอลลาร์ไปซื้อกิจการร้านขายของเบ็ดเตล็ด Ben Franklin ในเมืองนิวพอร์ต รัฐอาร์คันซอ ซึ่งเป็นสาขาแฟรนไชส์ของ บัตเลอร์ บราเธอร์ส ออฟ ชิคาโก
Ben Franklin คือกิจการแรกที่ Sam Walton ซื้อหลังจากที่เขาออกจากการไปรับใช้ชาติ: Walmart Museum
ด้วยความขยันขันแข็งและนโยบายตั้งราคาสินค้าต่ำกว่าราคาที่ร้านค้าปลีกอื่น ๆ ธุรกิจร้านขายของของเขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว Walton ได้ขยายธุรกิจของเขาขึ้นเป็น 3 เท่าในไม่ช้า
และในปี 1950 เขาก็เป็นเจ้าของร้าน Ben Franklin ซึ่งเป็นร้านชั้นนำในภูมิภาค 6 รัฐ เจ้าของที่ดินของวอลตันไม่มองข้ามความสำเร็จของร้าน ซึ่งตัดสินใจซื้อกิจการนี้ให้ลูกชายของเขา แซมไม่มีความตั้งใจที่จะขาย ดังนั้น เจ้าของที่ดินจึงปฏิเสธที่จะต่อสัญญาเช่า
ประสบการณ์นี้อาจทำให้คนส่วนใหญ่ยอมแพ้ แต่ Sam Walton ไม่ยอมแพ้ เขาออกค้นหาทำเลเมืองชนบท เช่น ลิตเติลร็อก รัฐอาร์คันซอ เพื่อหาสถานที่ทำธุรกิจแห่งใหม่ และพบสถานที่นั้นในชุมชนเล็ก ๆ ชื่อเบนตันวิลล์ ที่นั่นเขาตั้งร้านในร้านค้าแห่งหนึ่งบนจัตุรัสกลางเมือง โดยคราวนี้เขากับเจ้าของที่ดินว่าจะเช่าที่ดินเป็นเวลา 99 ปี
Walton เปิดร้าน Walton’s Five & Dime ในช่วงฤดูร้อนของปี 1950 มีร้านค้าหลากหลายประเภทอีกสองร้านในเมือง แต่ไม่มีร้านใดเสนอราคาต่ำอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับวอลตัน ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจใหม่จึงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับธุรกิจก่อนหน้านี้ของเขา ทำให้วอลตันมองหาโอกาสอื่น ๆ เช่นนี้ “บางทีอาจเป็นเพียงความอยากทำธุรกิจมากขึ้นของผม” เขาครุ่นคิดในภายหลัง “และบางทีผมอาจไม่ต้องการเอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว”
ร้าน Walton’s 5-10 (Walton’s Five & Dime) ของ Sam Walton: The Center for Land Use Interpretation
ตลอดช่วงทศวรรษปี 1950 วอลตันใช้เงินกู้และกำไรจากร้านค้าที่เขามีอยู่แล้วซื้อร้านค้าหลากหลายประเภททีละร้าน จนกระทั่งในปี 1960 เขาก็เป็นเจ้าของร้านค้าปลีกไปแล้วกว่า 15 แห่ง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่เห็นกำไรตามที่คาดหวังและคิดว่าเขาควรจะทำเงินได้มากกว่านี้จากความพยายามที่เขาทุ่มเทลงไป
เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้กลยุทธ์ใหม่ ด้วยการ ลดราคาแบบสุดตัว เพื่อหวังจะต่อสู้กับคู่แข่งและชดเชยส่วนต่างราคาด้วยปริมาณการขายที่สูงขึ้น แนวทางปฏิบัติดังกล่าวไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ แต่ในสมัยนั้น ร้านค้าลดราคามักจะมีขนาดเล็ก ตั้งอยู่ในเมืองและลดราคาเฉพาะสินค้าเฉพาะทาง แต่แนวคิดของ Walton คือการสร้างร้านค้าขนาดใหญ่ที่ลดราคาสินค้าทุกอย่างที่มี และตั้งร้านในเมืองเล็ก ๆ
ในตอนแรก เขาเข้าหาบริษัทที่ให้สิทธิ์แฟรนไชส์แก่ร้าน Ben Franklin เพื่อเสนอแนวคิดของเขา แต่กรรมการบริษัทปฏิเสธที่จะสนับสนุนเขา เมื่อ Sam Walton อธิบายว่าบริษัทจะต้องลดอัตรากำไรขั้นต้นของราคาขายส่งลงครึ่งหนึ่งเพื่อรองรับกลยุทธ์ ลดราคาขายในทุก ๆ วัน
เมื่อสิ่งที่ Sam Walton นำไปเสนอไม่มีใครเอาด้วย ดังนั้น Walton จึงตัดสินใจลองเสี่ยงด้วยตัวเอง โดยนำบ้านไปจำนองและกู้เงินมาลงทุน ปี 1962 Walmart สาขาแรกถือกำเนิดขึ้นด้วยความช่วยเหลือของ Bud Walton วอลตัน พี่ชายและผู้ก่อตั้งร่วมของเขา ร้านดังกล่าวเดิมชื่อว่า Wal Mart Discount City และเปิดทำการในปี 1962 ที่เมืองโรเจอร์ส รัฐอาร์คันซอ ซึ่งไม่ไกลจากเบนตันวิลล์
Bud และ Sam Walton: Walmart Museum
Sam Walton ไม่ใช่คนเดียวที่ใช้กลยุทธ์การขายด้วยการ ลดราคา แต่มีทั้ง S.S. Kresge ก็ได้เปิดตัว Kmart ส่วน Woolworth’s ได้เปิดตัว Woolco ซึ่งถ้าให้พูดตามจริงทั้งสองบริษัทสามารถโค่น Walmart ได้ไม่ยาก แต่ที่ไม่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ Walton ไม่ได้อยู่ในสายตาบรรดายักษ์ใหญ่ค้าปลีกเหล่านี้
เมื่อแรกเปิดตัวWalmartลูกค้าในชนบทแห่ไปที่ร้านของวอลตันเพราะรู้สึกตื่นเต้นที่การลดราคาในเมืองใหญ่ของนิวยอร์กเข้ามาในเมืองเล็ก ๆ ในอเมริกา ลูกค้าในชนบทแห่กันไปที่ร้านของวอลตัน และยอดขายก็พุ่งสูงขึ้น ความสำเร็จในช่วงแรกนี้ทำให้มีเงินทุนสำหรับการขยายกิจการต่อไป
ต่อมาในปี 1969 Walton มีWalmartในมือทั้งหมด 18 สาขาทั่วทั้งอาร์คันซอและมิสซูรี ก่อนหน้านั้น Sam ใช้วิธีขยายกิจการด้วยกำไรและการกู้เงิน แต่ในปี 1970 เขาตัดสินใจครั้งใหญ่โดยการนำWalmartเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก
การเสนอขายครั้งแรก (IPO) ทำให้ Sam ได้เงินมาเกือบ 5 ล้านดอลลาร์ และแม้ว่าการนำบริษัทเข้าตลาดฯ จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ Sam และครอบครัวเหลืออยู่เพียง 61 เปอร์เซ็นต์ แต่รายได้ที่Walmartทำได้ก็ทำให้เขาสามารถชำระหนี้ของบริษัทและเดินหน้าตามแผนขยายกิจการอันทะเยอทะยานของเขาได้
ในปีแรกหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Walmartได้ขยายสาขาเพิ่มอีก 6 สาขา ตามด้วย 13 สาขา ในแต่ละปีถัดมา 14 สาขา และ 26 สาขา โดยในช่วงสิ้นปี 1980 Sam Walton ได้ขยายสาขาWalmartไปถึง 276 สาขา ถัดมาในปี 1983 Sam ได้เปิดตัว Sams Club แห่งแรก โดยมีกลุ่มลูกค้าเป็นเจ้าของร้านขายของชำขนาดเล็ก ที่ต้องการซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก
ปี 1985 นิตยสาร Forbes ประกาศให้เขาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา โดยมีทรัพย์สินอยู่ที่ประมาณ 2.8 พันล้านดอลลาร์ อีก 2 ปีต่อมา Walmart กลายเป็นผู้ค้าปลีกที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในสหรัฐอเมริกา รองจาก Sears และ Kmart เท่านั้น
Sam Walton ผู้ก่อตั้งWalmart ซึ่งประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมค้าปลีกเป็นอย่างมาก ประกาศในปี 1988 ว่าเขาจะมอบหน้าที่ CEO ให้กับ David D. Glass แต่เขาจะยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริษัทต่อไป
ในปี 1990 Sam Walton ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว แต่โรคร้ายก็ไม่ได้ทำให้จิตวิญญาณแห่งการแข่งขันของ Sam ลดลงไปได้เลย และในการประชุมประจำปีของ Walmart เมื่อเดือนมิถุนายน 1990 Sam คาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 5 เท่าเป็น 125,000 ล้านดอลลาร์ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งก็ดูเหมือนจะจริงตามนั้น โดยในอีก 2 ปีถัดมา Walmart แซงหน้า Kmart และ Sears จนกลายเป็นผู้ค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้
Sam Walton เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 เมษายน 1992 ด้วยวัย 74 ปี เขาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลวิทยาศาสตร์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยอาร์คันซอในเมืองลิตเทิลร็อก รัฐอาร์คันซอ หลังจากต่อสู้กับมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัลติเพิลไมอีโลม่า ซึ่งเขาเสียชีวิตก่อนจะถึงวาระครบรอบ 30 ปีของ Walmart เพียงไม่กี่เดือน มรดกของ Sam Walton ในฐานะผู้ก่อตั้ง Walmart และอิทธิพลของเขาที่มีต่อธุรกิจค้าปลีกยังคงส่งผลมาถึงทุกวันนี้
จุดเริ่มต้นของ Walmart
Walmart ก่อตั้งขึ้นในปี 1962 โดย แซม วอลตัน (Sam Walton) ที่เมืองโรเจอร์ส รัฐอาร์คันซอ Walmart เริ่มต้นจากร้านค้าเล็ก ๆ ที่มีแนวคิดง่าย ๆ คือ การขายสินค้าราคาถูกให้กับลูกค้าในชุมชนชนบท โดยเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้บริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ นี้ Walmart ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด จนกลายเป็นบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน
Walmart สาขาแรกก่อตั้งในปี 1962 ที่เมืองโรเจอร์ส รัฐอาร์คันซอ
ในช่วงทศวรรษแรก Walmart ขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเน้นการเปิดสาขาในเมืองเล็ก ๆ ทางภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา ภายในปี 1970 บริษัทมีสาขา 38 แห่ง และมียอดขายประมาณ 44.2 ล้านดอลลาร์
จุดเปลี่ยนการเติบโต
Walmart ค้าปลีกที่เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ในเมืองโรเจอร์ส รัฐอาร์คันซอ เมื่อปี 1962 สู่การเป็นบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน เส้นทางการเติบโตของ Walmart เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Walmart กลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ การขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ หรือการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล
ปี 1988 เปิดตัว Walmart Supercenter นับเป็นนวัตกรรมสำคัญที่รวมร้านขายของชำและสินค้าทั่วไปไว้ภายใต้หลังคาเดียวกัน ทำให้เกิดความสะดวกสบายสำหรับผู้บริโภค รูปแบบซูเปอร์เซ็นเตอร์ทำให้ Walmart สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้มากขึ้น และสร้างเวทีสำหรับการครองตลาดค้าปลีก
Walmart Supercenter: Walmart Canada
การขยายสู่ตลาดต่างประเทศ (1991-1994) การที่ Walmart เข้าสู่เม็กซิโกและแคนาดาถือเป็นก้าวสำคัญครั้งแรกในการเป็นผู้ค้าปลีกระดับโลก การขยายตัวนี้ไม่เพียงแต่ทำให้แหล่งรายได้ของบริษัทมีความหลากหลาย แต่ยังสร้างสถานะของบริษัทในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งจะกลายมาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตในอนาคต
Walmart ขยายสาขาไปยังประเทศแคนาดาและเม็กซิโก: Walmart Corporate
ความสำเร็จของแบรนด์สินค้าส่วนตัว (1993) การเปิดตัวแบรนด์ Great Value ในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช่วยให้ Walmart ฟื้นตัวจากความท้าทายก่อนหน้านี้ได้ สินค้าตราสินค้าส่วนตัวนี้มีราคาที่จับต้องได้และหลากหลาย ดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องต้นทุน และส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 1995
Walmartเปิดตัว Great Value สินค้า House Brand ในช่วงปี 1993: Sporked
การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ (ปี 2000) การก่อตั้ง Walmart.com และการเข้าซื้อกิจการธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เช่น Jet.com ในปี 2016 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการผสานการช้อปปิ้งออนไลน์เข้ากับการค้าปลีกแบบดั้งเดิม การเคลื่อนไหวนี้มีความจำเป็นสำหรับการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ทางออนไลน์อย่าง Amazon
Walmart.com คือ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เปิดตัวในปี 2000
การเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ถือเป็นยุคทองของ Walmart โดยในปี 1972 จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange : NYSE) หลังจากนั้นจุดเริ่มต้นความรุ่งเรืองของWalmartก็เริ่มขึ้น เพราะมีเงินทุนมาขยายกิจการ จาก 125 สาขาในปี 1975 เพิ่มขึ้นเป็น 1,500 สาขาในปี 1990 พร้อมกับยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดจาก 340.3 ล้านดอลลาร์เป็น 32,600 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังและการกระจายสินค้า เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ Walmart สามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมาก ทำให้บริษัทกลายเป็นร้านค้าปลีกที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐฯ ภายในปี 1985
- ระบบการจัดการสินค้าคงคลัง Walmartเป็นผู้บุกเบิกระบบควบคุมสินค้าคงคลังด้วยคอมพิวเตอร์ โดยการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ IBM 370/135 ในปี 1975 Walmart เริ่มเชื่อมโยงสินค้าคงคลังของร้านค้ากับศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการจัดการระดับสต็อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพเป็นอีกหนึ่งใน Key Success ของWalmartในช่วงปี 1985: Walmart Corporate
- ระบบจุดขาย (POS) การนำระบบ POS ขั้นสูงมาใช้ทำให้ Walmart สามารถติดตามข้อมูลการขายแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลังและลดของเสีย เทคโนโลยีนี้ทำให้บริษัทตอบสนองต่อแนวโน้มการขายได้อย่างรวดเร็วและปรับสินค้าคงคลังให้เหมาะสม
- การสื่อสารผ่านดาวเทียม Walmartได้สร้างเครือข่ายดาวเทียมซึ่งเชื่อมโยงร้านค้าทั้งหมดกับสำนักงานใหญ่สำหรับการสื่อสารด้วยเสียง ข้อมูล และวิดีโอ ระบบนี้อำนวยความสะดวกในการอัปเดตสินค้าคงคลังรายวันและปรับปรุงการสื่อสารทั่วทั้งบริษัท
- ระบบเติมสินค้าอย่างต่อเนื่อง Walmartร่วมมือกับซัปพลายเออร์ อย่าง Procter & Gamble (P&G) ในการพัฒนาระบบเติมสินค้าอย่างต่อเนื่องที่จัดการคำสั่งซื้อสินค้าคงคลังโดยอัตโนมัติตามข้อมูลการขายแบบเรียลไทม์ แนวทางนี้ช่วยลดการหมดสต็อกและเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน
ทศวรรษ 1990 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งเมื่อWalmartเริ่มขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ เริ่มจากเม็กซิโกในปี 1991 ตามด้วยแคนาดา จีน และสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวรูปแบบร้านค้าใหม่อย่างWalmart Supercenter ที่ผสมผสานซูเปอร์มาร์เก็ตและสินค้าทั่วไปเข้าด้วยกัน ส่งผลให้ภายในปี 2000 Walmart มีสาขากว่า 4,000 แห่งทั่วโลก ด้วยยอดขายสูงถึง 165 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 21 Walmartต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ทั้งการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ และกระแสวิพากษ์วิจารณ์ด้านผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่นและสภาพการจ้างงาน บริษัทจึงต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ขยายสาขาในรูปแบบที่เล็กลง ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และปรับปรุงภาพลักษณ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ผลการดำเนินงานล่าสุดในปีงบประมาณ 2023 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 611.3 พันล้านดอลลาร์ และกำไรสุทธิ 11.7 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันWalmartมีสาขามากกว่า 10,500 แห่งใน 24 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 2.3 ล้านคน สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมหาศาลจากจุดเริ่มต้นเมื่อห้าทศวรรษก่อน
อะไรทำให้Walmartประสบความสำเร็จ
- กลยุทธ์ Everyday Low Price (EDLP)
EDLP เป็นแนวคิดหลักในการดำเนินธุรกิจของWalmartที่มุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าในราคาต่ำอย่างสม่ำเสมอ แทนที่จะใช้การลดราคาเป็นครั้งคราวหรือจัดโปรโมชั่นบ่อย ๆ แนวคิดนี้สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าว่าพวกเขาจะได้รับสินค้าในราคาที่คุ้มค่าทุกครั้งที่มาซื้อของที่ Walmart โดยไม่ต้องรอโปรโมชั่นหรือคูปองส่วนลด
กลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่ดึงดูดลูกค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยให้Walmartสามารถวางแผนการจัดการสินค้าคงคลังและการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากความต้องการของลูกค้ามีความสม่ำเสมอมากกว่าการมียอดขายที่ผันผวนตามโปรโมชั่น
กลยุทธ์ Everyday Low Price คือสิ่งที่ Walmart นำมาใช้ทำให้ยอดขายเติบโตอย่างมาก: TBS 946 Retail Marketing
- การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
Walmart ใช้ระบบโลจิสติกส์และการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนและทันสมัย โดยมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการจัดการสินค้า เช่น ระบบจัดเก็บและเรียกคืนอัตโนมัติ (Automated Storage and Retrieval Systems – AS/RS) และระบบการจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management Systems – WMS) ที่ทันสมัย ระบบเหล่านี้ช่วยลดเวลาในการดำเนินงาน ลดความผิดพลาดของมนุษย์ และเพิ่มความแม่นยำในการจัดการสินค้า นอกจากนี้ Walmart ยังใช้ระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ โดยวางแผนเส้นทางการขนส่งอย่างรอบคอบเพื่อลดระยะทางและเวลาในการขนส่ง รวมถึงการใช้เทคโนโลยี GPS และระบบติดตามรถบรรทุกแบบเรียลไทม์ ทั้งหมดนี้ช่วยให้ Walmart สามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการรักษาราคาสินค้าให้ต่ำได้
- อำนาจต่อรองกับซัปพลายเออร์
ด้วยขนาดธุรกิจที่ใหญ่มากและปริมาณการสั่งซื้อที่สูง Walmart มีอำนาจต่อรองอย่างมากกับผู้ผลิตสินค้า บริษัทใช้อำนาจนี้ในการเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ราคาต้นทุนสินค้าที่ต่ำที่สุด บางครั้ง Walmart ถึงขั้นกำหนดให้ซัปพลายเออร์ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตหรือบรรจุภัณฑ์เพื่อลดต้นทุน เช่น การลดขนาดบรรจุภัณฑ์เพื่อประหยัดพื้นที่ในการขนส่งและจัดเก็บ หรือการปรับเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการผลิตเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ Walmart ยังมีนโยบายการชำระเงินที่เข้มงวด ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถบริหารเงินทุนหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อำนาจต่อรองนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ Walmart สามารถรักษานโยบายราคาต่ำได้อย่างต่อเนื่อง
- การใช้เทคโนโลยีและข้อมูล
Walmart เป็นผู้นำในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในการดำเนินธุรกิจ บริษัทใช้ระบบ AI และ Machine Learning ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ทำให้สามารถคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และนำไปสู่การบริหารสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ ลดปัญหาสินค้าขาดหรือล้นสต็อก
นอกจากนี้ Walmart ยังใช้เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) ในการติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ช่วยให้สามารถระบุและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการติดตามแหล่งที่มาของอาหารสดก็เป็นอีกตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ทั้งหมดนี้ช่วยให้ Walmart สามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และในที่สุดก็สามารถรักษาราคาสินค้าให้อยู่ในระดับต่ำได้อย่างยั่งยืน
- การขยายช่องทางออนไลน์
ในยุคที่การช้อปปิ้งออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว Walmart ได้ลงทุนอย่างมากในการพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ walmart.com เพื่อแข่งขันกับ Amazon โดยใช้จุดแข็งจากเครือข่ายร้านค้าที่มีอยู่ทั่วประเทศในการให้บริการรับสินค้าที่ร้าน (Click & Collect) และการจัดส่งสินค้าในวันเดียวกัน
เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://corporate.walmart.com/about/history
https://www.walmartmuseum.com/content/walmartmuseum/en_us/timeline/decades/1960/artifact/2366.html
Merchandise- continuous replenishment & Retail pricing- EDLP & Retail- social media
https://www.foxbusiness.com/retail/walmart-history
https://www.entrepreneur.com/growing-a-business/sam-walton-biography/197560
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
