Robert Habeck ระบุว่าความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของเยอรมนีไม่ใช่เกิดจากนโยบายของรัฐบาลผสมสามพรรค แต่เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อและ “ฝังรากลึก” ในระบบเศรษฐกิจมานานหลายทศวรรษ: Politico
เยอรมนี ประเทศที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อินทรีเหล็ก” แห่งยุโรป เคยเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปมาอย่างยาวนาน นำมาด้วยอุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่ง การส่งออกที่ทรงพลัง และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานการณ์กลับพลิกผัน เศรษฐกิจเยอรมนีกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อันที่จริง เราเคยเขียนถึงเยอรมนีหลายครั้งแล้ว เพราะประเทศนี้เปรียบเสมือนพี่ใหญ่ของยุโรปที่มีเงิน เทคโนโลยี และการเมืองที่มีเสถียรภาพ
แต่ต้องยอมรับว่าหลังเกิดโควิดและข้อพิพาทกับรัสเซีย เศรษฐกิจภายในประเทศของเยอรมนีก็ดูจะไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาเติบโตสวยงามได้ ซ้ำยังถูกญี่ปุ่นแซงหน้าในมิติของการเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลกอีกด้วย
เราจะพาไปสำรวจถึงที่มา สาเหตุ ผลกระทบ และแนวโน้มในอนาคตของวิกฤตเศรษฐกิจเยอรมนีที่กำลังส่งผลกระทบไปทั่วทั้งยุโรปและโลก
สภาพปัจจุบันของเศรษฐกิจเยอรมนี
แม้จะเป็นเรื่องง่ายที่จะโทษปัจจัยภายนอกว่าเป็นตัวการที่ทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอ แต่ความจริงแล้ว ปัญหาของเยอรมนีมีที่มาฝังรากลึกกว่านั้น”
หากเราดูจากสถานะขนาดเศรษฐกิจของเยอรมนีในปัจจุบัน หลายคนอาจจะไม่ได้ติดตามหรือไม่ทราบว่า เยอรมนีเคยรั้งอันดับ 3 ของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งในไตรมาสที่ 1 ของปี 2024 ถูกญี่ปุ่นแซงและผลักให้เยอรมนีตกลงมาอยู่ในอันดับที่ 4 การที่เยอรมนีตกลงมาอยู่ในอันดับ 4 นั้น เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่า GDP ที่เป็นตัวเงิน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากความผันผวนของสกุลเงิน โดยเฉพาะการอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับดอลลาร์
การที่เยอรมนีตกอันดับ หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงผลจากค่าเงิน แต่ถ้าเจาะลึกลงไปจริง ๆ สื่อเศรษฐกิจอย่าง *The Economist* รายงานว่านับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจของเยอรมนีแทบจะไม่กระเตื้องไปไหนเลย (พูดง่าย ๆ ว่าไม่โต) หากดูจากกราฟที่ *The Economist* จัดทำ จะเห็นว่า เยอรมนี ซึ่งเคยเป็นเบอร์ 1 ของยุโรป ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช้ากว่าประเทศอื่น ๆ อย่างสหรัฐฯ อิตาลี แคนาดา และแม้กระทั่งญี่ปุ่น
GDP ของเยอรมนีแทบไม่ขยับเลยตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด: The Economist
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เยอรมนีเคยเป็นประเทศที่ช่วยพยุงตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซน แต่ปัจจุบัน ประเทศที่เคยเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของยุโรป กลับกลายเป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตของภูมิภาคมากกว่า
เศรษฐกิจเยอรมนีกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกและการผลิตเป็นหลักอย่างเยอรมนี ต้องรับมือกับปัญหาหลายประการพร้อมกัน ทั้งราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นหลังจากรัสเซียบุกยูเครน และการที่จีนผลิตสินค้าล้นตลาด จนส่งผลกระทบต่อการส่งออกของเยอรมนี
แม้จะเป็นเรื่องง่ายที่จะโทษปัจจัยภายนอกว่าเป็นตัวการที่ทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอ แต่ความจริงแล้ว ปัญหาของเยอรมนีมีที่มาฝังรากลึกกว่านั้น สิ่งที่นำพาเยอรมนีเดินทางมาถึงจุดนี้ หลายปัญหาก็เกิดขึ้นภายในประเทศเอง นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองภายในยังเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาอีกด้วย
ภาคการผลิตของเยอรมนีประสบปัญหาหนักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมาก เช่น อุตสาหกรรมเคมี โลหะ และกระดาษ แม้อุตสาหกรรมเหล่านี้จะมีสัดส่วนเพียง 16% ของการผลิตทั้งหมด แต่กลับใช้พลังงานถึงเกือบ 80% ของภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้หลายบริษัทต้องหยุดการผลิตเพราะต้นทุนพลังงานที่สูงเกินไป
ภาคการผลิตของเยอรมนีที่เคยเป็นเครื่องจักรสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ กำลังประสบปัญหาจากการรุกคืบของจีน: Bloomberg
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างเยอรมนีกับจีนก็เปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่เคยเกื้อหนุนกัน เยอรมนีขายรถยนต์ สารเคมี และเครื่องจักรให้จีน แล้วซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากจีน แต่ปัจจุบันจีนสามารถผลิตสินค้าเหล่านี้ได้เองแล้ว และยังกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดส่งออกสินค้าประเภทเหล่านี้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นสินค้าหลักของเยอรมนี สถานการณ์นี้ทำให้เยอรมนีต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักในการปรับตัวและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่ำจนใจหาย
ปัจจุบันเศรษฐกิจเยอรมนีกำลังเผชิญกับภาวะถดถอยอย่างรุนแรง โดยกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนีเปิดเผยว่า GDP ของเยอรมนีในช่วงสิ้นปี 2024 จะหดตัวประมาณ 0.2% ซึ่งเป็นการปรับประมาณการจากเดิมที่คาดว่าจะหดตัว 0.3% เนื่องจากยังมีปัจจัยที่ฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ ทั้งการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่อ่อนแอและแรงกดดันจากอุปสงค์ภายนอก อัตราการเติบโตดังกล่าวถือว่าต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศ G7
เศรษฐกิจเยอรมนีกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้านในปี 2024 ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจจะฟื้นตัวบ้างในช่วงต้นปี แต่ยังไม่กลับสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤต สะท้อนถึงความกังวลของภาคธุรกิจต่อสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต ส่งผลให้การลงทุนและการใช้จ่ายของทั้งนักลงทุนและผู้บริโภคยังคงชะลอตัว
ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งเคยเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจเยอรมนี ยังคงซบเซาต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และเคมีภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้จะมีสัญญาณการฟื้นตัวบ้างในบางภาคส่วน แต่การผลิตโดยรวมยังไม่กลับสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤต
การผลิตและส่งออกเทคโนโลยีเครื่องจักรกำลังอ่อนแอจากปริมาณคำสั่งซื้อที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ: DW
การส่งออก ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจเยอรมนี ยังคงเผชิญกับความท้าทาย แม้จะมีการฟื้นตัวบ้างในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 แต่การส่งออกไปยังตลาดสำคัญอย่างจีนยังคงชะลอตัว เนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ
สถานการณ์เหล่านี้ส่งผลให้เศรษฐกิจเยอรมนีเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปี 2023 และคาดว่าจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงปี 2024 รัฐบาลเยอรมนีและสถาบันทางเศรษฐกิจต่างๆ กำลังพยายามหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
สาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจเยอรมนี
ประเทศเยอรมนีกำลังเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและหยั่งรากฝังลึกมาอย่างยาวนาน ไม่ใช่แค่ผลกระทบระยะสั้นจากวิกฤตโควิดหรือความขัดแย้งกับรัสเซียเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของเยอรมนีเริ่มปรากฏให้เห็นก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2021 ที่เศรษฐกิจเยอรมนีเติบโตเพียงแค่ 1% เมื่อเทียบกับเมื่อ 4 ปีก่อนหน้า ซึ่งน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกามาก
เปรียบเทียบอัตราการเติบโตของ GDP สหรัฐฯ เทียบกับเยอรมนีจะเห็นว่ามีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 2010 เยอรมนีเคยมีความได้เปรียบทางการแข่งขันเหนือประเทศอื่น ๆ ในยุโรปทั้งหมด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเยอรมนีได้ทำการปฏิรูปแรงงานเพื่อลดต้นทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการว่างงานและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและอัตราการว่างงานที่สูง แต่ความได้เปรียบนี้ค่อย ๆ หายไปเมื่อประเทศอื่น ๆ เริ่มปรับตัวได้เช่นกัน และค่าแรงในเยอรมนีก็เริ่มสูงขึ้น
จนถึงปัจจุบัน เยอรมนีไม่มีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนเหนือประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มยูโรโซนอีกต่อไป”
นอกจากนี้ เยอรมนียังเผชิญกับปัญหาประชากรสูงวัย หรือ *Aged Society* เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในโลก แม้ว่าในอดีตเยอรมนีจะมีผู้อพยพเข้ามาช่วยทดแทนแรงงานที่เกษียณออกจากระบบ แต่ปัจจุบัน เมื่อจำนวนน้อยลง ปัญหาขาดแคลนแรงงานก็เกิดขึ้น มีการคาดการณ์ว่าประชากรวัยทำงานของเยอรมนีจะลดลง 0.5% ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นอัตราการลดลงที่เร็วที่สุดในบรรดาประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หากไม่มีการหาทางออก ปัญหานี้อาจส่งผลกระทบต่อผลิตภาพและการเติบโตของประเทศในอนาคต
ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจเยอรมนี
ด้าน IMF คาดการณ์ว่าหากไม่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เศรษฐกิจเยอรมนีจะเติบโตเพียง 0.7% ต่อปี ซึ่งลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายของรัฐบาลจึงทำได้ยากขึ้น เนื่องจากกฎการคลังที่เข้มงวด และการลงทุนสาธารณะก็ลดลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แม้จะมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเยอรมนีอาจฟื้นตัวบ้างในปีหน้า เนื่องจากเงินเฟ้อและต้นทุนพลังงานที่ลดลง (ซึ่งกำลังลดลงเรื่อย ๆ ในขณะนี้) แต่นี่ไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอยู่ เยอรมนียังคงต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจอีกยาวนาน ซึ่งส่งผลกระทบไม่เพียงแต่ต่อประเทศเยอรมนีเอง แต่ยังรวมถึงกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรด้วย
Christian Lindner รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเยอรมนีมีหน้าที่โดยตรงในการดูแลเรื่องกำลังซื้อของประชาชนในประเทศ: European Newsroom
วิกฤตเศรษฐกิจเยอรมนีส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง เช่น BASF, Volkswagen, BMW และ ThyssenKrupp ต่างประสบปัญหา ต้องลดกำลังการผลิต ปิดโรงงาน หรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า นอกจากนี้ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ *Mittelstand* ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก หลายแห่งต้องปิดกิจการหรือลดขนาดธุรกิจลง
ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจเยอรมนีส่งผลโดยตรงต่อการจ้างงานและรายได้ของประชาชน อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิตและบริการ ขณะเดียวกันค่าจ้างแรงงานที่แท้จริงก็ลดลง เนื่องจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงและส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ
เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ทั้งนักลงทุนและผู้บริโภคต่างมีมุมมองที่เป็นลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของเยอรมนีในอนาคต ส่งผลให้การลงทุนและการใช้จ่ายชะลอตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากดัชนี *ZEW Economic Sentiment Index* ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ดัชนี ZEW หรือ *The German Zentrum für Europäische Wirtschaftsforschung (ZEW)
ในด้านนโยบายการคลัง รัฐบาลเยอรมนีต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาวินัยทางการคลังตามกฎ “debt brake” ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชน ทำให้เกิดความขัดแย้งทางนโยบายและการเมืองภายในประเทศ
นอกจากนี้ วิกฤตเศรษฐกิจยังส่งผลกระทบต่อบทบาทของเยอรมนีในสหภาพยุโรป จากประเทศที่เคยเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและการเมืองของยุโรป อาจต้องลดบทบาทลง ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ เช่น ฝรั่งเศสและอิตาลีอาจเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการกำหนดทิศทางของสหภาพยุโรป
วิกฤตเศรษฐกิจเยอรมนีและผลกระทบต่อยุโรป
วิกฤตเศรษฐกิจเยอรมนีจึงไม่เพียงส่งผลกระทบแค่ในระดับประเทศเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองของยุโรปโดยรวมอีกด้วย
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนีอาจไม่ได้ฟื้นตัวง่าย ๆ และอาจต้องใช้เวลาหลายปี แต่หากสามารถปรับตัวและปฏิรูปได้สำเร็จ เยอรมนีอาจกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาล ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ตลอดจนการสนับสนุนจากประชาชนในการยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น
ในท้ายที่สุด วิกฤตครั้งนี้อาจเป็นบททดสอบสำคัญของความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวของ “อินทรีเหล็ก” แห่งยุโรป ซึ่งผลลัพธ์จะไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเยอรมนีเท่านั้น แต่ยังจะมีอิทธิพลต่ออนาคตของสหภาพยุโรปและเศรษฐกิจโลก
เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://globalpeoservices.com/top-15-countries-by-gdp-in-2024/
https://www.dw.com/en/germany-reckons-with-another-recession-in-2024-report/a-70416091
https://globalpeoservices.com/top-15-countries-by-gdp-in-2024/
–
