ช่อง 3 เลย์ออฟพนักงาน 300 คน สัญญาณเตือนครั้งใหญ่ในวงการสื่อไทย (วิเคราะห์)

ใครที่ดูรายการ เรื่องเด่นเย็นนี้หลังไมค์ ทาง 3PLUSNEWS ของช่อง 3 ดำเนินรายการโดย ตูน-ปรินดา คุ้มธรรมพินิจ และ ไก่-ภาษิต อภิญญาวาท เมื่อเย็นวานนี้ (25 พ.ย. 67) คงอึ้งและพลอยสะเทือนใจไปตาม ๆ กัน

เมื่อคุณไก่ถอนหายใจใหญ่ 2-3 รอบ ก่อนเล่าว่าในเวลา 16.30 น. ก่อนเข้ารายการพอดี มีข้อความเข้ามาในไลน์ของคุณตูน ว่า

“เรียนทุกท่าน ขออนุญาตแจ้งว่า วันนี้หลัง 17.00 น. ทาง HR จะมีเมลถึงบุคคลที่เราจำเป็นต้องให้เข้าโครงการปรับโครงสร้าง (เลิกจ้าง) จาก HR ขอบคุณค่ะ”

วันนี้ก็มีข่าวยืนยันว่าช่อง 3 (บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน)) หรือ BEC ประกาศเลย์ออฟพนักงาน ที่คาดว่าประมาณ 300 คน จากพนักงานทั้งหมดที่เหลืออยู่ราว 800 คน

แน่นอน เป็นผลพวงจากรายได้หลักที่ลดลงอย่างต่อเนื่องของเม็ดเงินโฆษณา ซึ่งทำให้ช่อง 3 ต้องปรับกลยุทธ์กันตลอดเวลา

แม้ว่าในอดีตจะมีฐานคนดูที่แข็งแกร่ง มีบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ ทั้งดาราและผู้จัด และในวันนี้ละครยังคงสามารถสร้างรายได้จากหลายช่องทาง รายการข่าวก็ยังคงได้รับความนิยม แม้จะมีคู่แข่งมากขึ้น และยังมีรายได้จากภาพยนตร์เรื่อง “ธี่หยด 2” ที่เข้ามาช่วยเสริมสร้างสถานการณ์ทางการเงินอีกด้วย

ใหญ่แค่ไหนแต่ดูเหมือนวันนี้จะช่วยอะไรไม่ได้มาก

มาดูกันว่าผลประกอบการของช่อง 3 ในหลายปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

ช่วงยุคทองก่อนมีทีวีดิจิทัล (ปี 2557) ในปี 2556 ช่อง 3 คือยักษ์ใหญ่ของสื่อทีวีอันดับต้น ๆ ที่มีรายได้อยู่ที่ 15,127 ล้านบาท กำไร 5,589 ล้านบาท

“ขาดทุน” เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 จากผลพวงของสงครามทีวีดิจิทัล 330 ล้านบาท

เป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 22 ปีนับตั้งแต่ช่อง 3 เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2539  ทำให้ช่วงเวลานั้นเกิดการลีนองค์กรครั้งใหญ่ ทั้งปรับลดคน ลดต้นทุนการผลิต และปรับโครงสร้าง เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ๆ

จนกลับมาเห็นกำไรอีกครั้งในปี 2564 รายได้ 5,728 ล้านบาท กำไร 761 ล้านบาท

แต่เมื่อฐานผู้ชมหลักของช่อง 3 คือกลุ่มคนเมือง, หัวเมืองใหญ่ ๆ และเป็นกลุ่มอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป รวมทั้งเป็นเพศหญิงอายุ 30-40+ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และคือกลุ่มที่เข้าถึงแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ทีวีมากที่สุด

ในขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว เม็ดเงินโฆษณาที่ลดลง กลายเป็นมรสุมที่โหมกระหน่ำเข้าสู่ช่อง 3 ครั้งแล้วครั้งเล่า

การลดคน ลดเงินเดือน เลยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นข่าวบ้างไม่เป็นข่าวบ้าง รวมทั้งกระทบไปยังผู้จัดละครที่ให้ระงับการถ่ายทำไปบ้าง อนุมัติละครใหม่ยากขึ้น และงบประมาณในการผลิตที่ลดลง

ไม่ว่าจะปรับตัวพลิกแพลงอย่างไร รายได้หลักจากการขายเวลาโฆษณายังลดลงต่อเนื่อง ผลประกอบการในแต่ละปีเลยดิ่งลงเช่นกัน

ปี 2565 รายได้ 5,114 ล้านบาท กำไร 607 ล้านบาท

ปี 2566 รายได้ 4,653 ล้านบาท กำไร  210 ล้านบาท เป็นเม็ดเงินกำไรที่ร่วงไปอยู่ในอันดับ  6

ในขณะที่ ช่อง 7 กำไรที่ 732 ล้านบาท ช่อง one 31 กำไร 506 ล้านบาท ช่อง 8 กำไร 370 ล้านบาท อมรินทร์กำไร 290 ล้านบาท และไทยรัฐทีวี กำไร 265 ล้านบาท

สำหรับไตรมาส 3/2567 รายได้ของช่อง 3 อยู่ที่ 1,068.4 ล้านบาท ลดลง 41.41 ล้านบาท หรือ 3.7% จากไตรมาส 2/2567 และลดลง 45.3 ล้านบาท จากไตรมาส 3/2566

ในขณะที่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 45.9 ล้านบาท ลดลง 35.7% จากไตรมาส 2/2567

วันนี้ ช่อง 3 พยายามหาทางออกจากวิกฤตนี้ ด้วยการเลย์ออฟคนครั้งใหญ่ หวังลดต้นทุนครั้งสำคัญ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer