Trend /ครั้งแรกอาจเป็นความบังเอิญ แต่ถ้ามาอีกเป็นครั้งที่ 2 คงต้องคิดใหม่ เพราะคงเป็นไปได้สูงว่าจะมาจากการวางแผนและเตรียมการมาก่อนแล้ว เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นกับวงการหนังปลายปี 2024

22-24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หนังที่ทำเงินเปิดตัวในสหรัฐฯ เป็นอันดับ 1 และ 2 คือ Wicked ของค่าย Universal

และ Gladiator ภาค 2 ของค่าย Paramount ด้วยตัวเลขรายได้ 114 ล้านดอลลาร์ (ราว 3,940 ล้านบาท) และ 55.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,918 ล้านบาท) ตามลำดับ ซึ่งแม้ต่างกันสุดขั้วแต่กลับถูกนำมาจับคู่กัน

Gladiator ภาค 2 ที่เป็นภาคต่อของหนังมหาภาพย์วีรบุรุษโรมันเรื่องดังเมื่อปี 2000 และ Wicked ที่เล่าเรื่องบรรดาแม่มดในรูปแบบหนังเพลง ถูกนำมารวมกันเกิดเป็นเทรนด์ Glicked หลังหนังคู่นี้ทำเงินเปิดตัวในสหรัฐฯ รวมกันได้ 169.5 (ราว 5,859 ล้านบาท)

นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ โดย Glicked กำลังถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง ทั้งในสื่อโซเชียล สื่อเศรษฐกิจ-ธุรกิจ และเว็บไซต์บันเทิงต่าง ๆ พร้อมการนำโปสเตอร์หรือตัวละครของหนังคู่นี้มาตัดต่อให้อยู่ในภาพเดียวกันหรือแบบภาพล้อเลียน (Meme) ขณะที่บรรดานักแสดงก็พูดถึงกันและกันและหนังอีกเรื่องในแง่ดี

แน่นอนว่าทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงที่หนังทั้งสองเรื่องกำลังออกฉาย และแต่ละเรื่องก็กำลังโปรโมตกันอย่างหนักหน่วง โดยผู้ชม Gladiator ภาค 2 สามารถเห็นฉากต่อสู้ในหนังลอยขึ้นมาแบบ AR ด้วยการใช้สมาร์ตโฟนสแกนที่ก้นถังป๊อปคอร์น

และค่ายหนัง Paramount จับมือกับ Airbnb จัดทริปพาเที่ยวชมโคลอสเซียม สนามกีฬาโบราณในอิตาลี ซึ่งถูกสมมุติว่าใช้เป็นสังเวียนของเหล่านักสู้ Gladiator

ส่วน Wicked จับมือกับแบรนด์ต่าง ๆ ออกสินค้าอิงจากหนังและตัวละครในหนัง ขณะที่บรรดาผู้ที่เข้าไปชมได้พากันร้องเพลงในโรงจนจุดประเด็นถกเถียงกลายเป็นข่าวและหนังได้พื้นที่สื่อไปแบบฟรี ๆ

เรื่องนี้มีที่มา โดยมีการวิเคราะห์กันว่า อาจเป็นความตั้งใจของ Universal กับ Paramount ที่ฉาย Wicked และ Gladiator ภาค 2 ชนกัน เพราะไม่ใช่หนังประเภทเดียวกันจึงไม่ใช่คู่แข่งกัน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นหนังฟอร์มใหญ่และเสียงวิจารณ์ดีทั้งคู่

จึงมีความเป็นไปได้ที่ค่ายหนังอาจมีการตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าจะจับมือกันสร้างกระแส เพื่อกระตุ้นคอหนังให้พักจากการดูแบบสตรีมมิ่ง แล้วออกไปซื้อตั๋วดูในโรง โดยทั้งหมดเป็นการอิงจากความสำเร็จของ Barbie และ Oppenheimer หนังต่างแนวสุดขั้วที่ฉายชนกัน หรือ Barbenheimer เมื่อปี 2023

ยังมีการวิเคราะห์กันอีกว่าเทรนด์ Glicked คือการทำให้เกิดเหตุการณ์หรือจุดประเด็นขึ้นเพื่อสร้างกระแสและต่อยอดทางการตลาด (Eventification) ซึ่งถือเป็นการตลาดรูปแบบหนึ่ง โดยยิ่งเลี้ยงกระแสได้นาน หนังก็จะฉายได้นานขึ้นนั่นเอง

ดังนั้นหาก Glicked ไปได้สวยระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกับ Barbenheimer เราอาจได้เห็นค่ายหนังอื่น ๆ จับหนังต่างขั้วมาฉายชนกันเพื่อสร้างกระแสตามอีกต่อเนื่อง

เทรนด์ Glicked ยังแสดงให้เห็นว่า ค่ายหนังต้องทำทุกทางเพื่อดึงคอหนังให้ซื้อตั๋วไปดูในโรง เพราะการดูแบบสตรีมมิ่งทำให้โรงหนังไม่คึกคักเหมือนก่อน และภาพรวมของอุตสาหกรรมหนังในสหรัฐฯ ก็ยังไม่ฟื้นเต็มที่ จากปัจจัยลบต่าง ๆ โดยเฉพาะการเลื่อนถ่ายทำหนังหลายเรื่อง หลังกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพในวงการหนังสหรัฐฯ ประท้วงเรียกร้องขอขึ้นค่าแรง   

ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าปี 2024 ยอดขายตั๋วหนังจะลดจากปี 2023 กว่า 10% แล้วจึงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี 2025 และ 2026/ cnn, nbcnews


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer