ต้องรวมพลังสู้ศึก คำนี้เห็นจะจริง เมื่อฮอนด้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์ กำลังพิจารณารูปแบบการร่วมกันเพื่อต่อสู้กับศึกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลกลุ่ม EV ที่ในวันนี้ตลาดรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นกำลังถูกแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า อย่าง BYD และ Tesla รุกคืบในตลาดอย่างต่อเนื่อง บนการเติบโตของยอดจำหน่ายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งความร่วมมือระหว่างทั้งคู่เริ่มต้นเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024 ที่ฮอนด้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์ จับมือทำ MoU (Memorandum of Understanding) หนังสือบันทึกความเข้าใจร่วมกัน เพื่อเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในด้านของยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และการเคลื่อนที่อัจฉริยะ
ในเดือนสิงหาคม 2024 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เข้าร่วม MoU อีก 1 บริษัท เนื่องจากนิสสัน มอเตอร์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ด้วยสัดส่วน 34.07%
และล่าสุด (18 ธันวาคม 2024) Nikkei Asia รายงานความเคลื่อนไหวของฮอนด้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์ ได้เจรจาควบรวมกิจการเพื่อนำทรัพยากรของทั้งสองบริษัทมาใช้ร่วมกัน เพื่อแข่งขันในตลาดรถยนต์ EV ที่ในวันนี้มีเทสลา และ BYD เป็นผู้นำในตลาดนี้ได้อย่างเข้มข้นมากขึ้น
ซึ่งความร่วมมือของการเจรจายังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด และอาจจะอยู่ในรูปแบบตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมาใหม่ และมีมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เป็นหนึ่งในโฮลดิ้งนี้ด้วย เนื่องจากในปัจจุบันนิสสันยังคงถือหุ้นในมิตซูบิชิ มอเตอร์ส 24.05% หลังจากเทขายหุ้นออกไปประมาณ 10.02% ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2024
ซึ่งก่อนที่ฮอนด้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์ จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจผ่านการเจรจาล่าสุด ทั้งคู่มีเป้าหมายในเส้นทางรถยนต์ EV ที่ชัดเจน
ฮอนด้า มอเตอร์มีเป้าหมายว่าในปี 2030 จะสร้างยอดขาย 40% มาจากรถยนต์ EV และ Fuel Cell Vehicle เพื่อก้าวขึ้นสู่ยอดขายรถยนต์ EV และ Fuel Cell Vehicle 100% ในปี 2040
นิสสัน มอเตอร์วางเป้าหมายปี 2026 มีสัดส่วนรถยนต์ EV ไม่รวมรถ Plug-in Hybrid Electric Vehicle ที่ 20% และเพิ่มสัดส่วนเป็น 40% ในปี 2030
สำหรับตลาดรถยนต์ EV ที่ผ่านมา ข้อมูลจาก Clean Technica พบว่ารถยนต์ EV มียอดจำหน่ายรวมทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2022 ยอดจำหน่ายรวม 10.09 ล้านคัน
2023 ยอดจำหน่ายรวม 13.69 ล้านคัน
มกราคม-ตุลาคม ปี 2024 ยอดจำหน่ายรวม 13.46 ล้านคัน
และ Bloomberg คาดการณ์ว่าในปี 2030 รถยนต์ EV จะมีสัดส่วนมากถึง 45% ในรถนั่งส่วนบุคคลทั้งหมด
Clean Technica ยังให้ข้อมูลว่าแบรนด์ที่มียอดขายรถยนต์ EV สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
2023
BYD จำนวนยอดขาย 2.88 ล้านคัน
Tesla จำนวนยอดขาย 1.81 ล้านคัน
BMW จำนวนยอดขาย 0.50 ล้านคัน
มกราคม-ตุลาคม 2024
BYD จำนวนยอดขาย 3.09 ล้านคัน
Tesla จำนวนยอดขาย 1.41 ล้านคัน
Wuling จำนวนยอดขาย 0.45 ล้านคัน

สำหรับธุรกิจของฮอนด้าและนิสสัน ที่ผ่านมามีผลประกอบการรวม และยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ดังนี้
ฮอนด้า มอเตอร์ มีรายได้มาจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ (Power Product)
ที่ผ่านมา ฮอนด้า มอเตอร์ มีรายได้ อ้างอิงเรต 1 เยน = 0.22 บาท ดังนี้
1 เมษายน 2022 -30 มีนาคม 2023
รายได้ 16.91 ล้านล้านเยน (ประมาณ 3.77 ล้านล้านบาท)
1 เมษายน 2023-30 มีนาคม 2024
รายได้ 20.43 ล้านล้านเยน (ประมาณ 4.55 ล้านล้านบาท)
1 เมษายน-30 กันยายน 2024
รายได้ 10.80 ล้านล้านเยน (ประมาณ 2.41 ล้านล้านบาท)
ส่วนยอดขายรถยนต์ฮอนด้า มอเตอร์ มีดังนี้
1 เมษายน 2022-30 มีนาคม 2023
ยอดขาย 3.69 ล้านคัน
1 เมษายน 2023-30 มีนาคม 2024
ยอดขาย 4.11 ล้านคัน
1 เมษายน-30 กันยายน 2024
ยอดขาย 1.78 ล้านคัน
สำหรับนิสสัน มอเตอร์ มีรายได้จากรถยนต์เป็นหลัก และที่ผ่านมามีรายได้ดังนี้
1 เมษายน 2022-30 มีนาคม 2023
รายได้ 10.60 ล้านล้านเยน 2.36 ล้านล้านบาท
1 เมษายน 2023-30 มีนาคม 2024
รายได้ 12.69 ล้านล้านเยน (ประมาณ 2.83 ล้านล้านบาท)
1 เมษายน-30 กันยายน 2024
รายได้ 5.98 ล้านล้านเยน (ประมาณ 1.33 ล้านล้านบาท)
และมียอดขายรถยนต์รวม
1 เมษายน 2022-30 มีนาคม 2023
ยอดขาย 3.30 ล้านคัน
1 เมษายน 2023 -30 มีนาคม 2024
ยอดขาย 3.44 ล้านคัน
1 เมษายน-30 กันยายน 2024
ยอดขาย 1.21 ล้านคัน
ส่วนในอนาคตภายใต้ความร่วมมือของทั้งสองจะเป็นอย่างไร และสู้กับเจ้าตลาดอย่าง BYD และ Tesla ได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องดูกันยาว ๆ
เพราะในวันนี้ตลาดรถยนต์ EV มีเพียงโตโยต้าเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นเพียงแบรนด์เดียวที่สร้างยอดขายรถ EV ติดอันดับ To20 ในตลาดรถยนต์ EV โลก ด้วยยอดขาย 0.21 ล้านคัน ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2024
–
