Trends / สถานการณ์โดยรวมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกปี 2024 ส่วนใหญ่มีแต่ข่าวดี หลังพ้นช่วงวิกฤตโควิดและกลับมาคึกคักอย่างยิ่ง โดยข้อมูลจากองค์การการท่องเที่ยวโลกของสหประชาชาติ (ยูเอ็นดับเบิลยูทีโอ) ระบุว่า มีผู้คน 1,400 ล้านคนที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ในปี 2024
นี่ทำให้มีเงินสะพัดในอุตสาหกรรมนี้ทั้งระบบมากถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 63 ล้านล้านบาท) ซึ่งหมายความว่าโดยเฉลี่ยนักท่องเที่ยวแต่ละคนใช้เงินตลอดทริปกว่า 1,000 ดอลลาร์ (ราว 33,600 บาท) เลยทีเดียว และยังเป็นการสะท้อนอีกว่าแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแห่งย่อมเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
สถานการณ์จากปี 2024 ส่งผลให้สภาพการณ์ในธุรกิจท่องเที่ยวปี 2025 ต่างออกไป จนเกิดเป็น 2 เทรนด์ใหญ่

Long Getaways
เทรนด์ใหญ่เทรนด์แรกของปี 2025 คือ การพักและท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวหรือเมืองท่องเที่ยวนาน ๆ เหมือนไปพักร้อน (Long Getaways) ซึ่งเกิดจากการอยากหลีกหนีความเครียดจากงาน และการหันมาใส่ใจสมดุลชีวิตที่มากขึ้นของคนยุคใหม่
รวมไปถึงอาการเหนื่อยและเบื่อที่ต้องแห่ไปตามแหล่งท่องเที่ยวดัง ๆ จากสื่อโซเชียล แบบหลาย ๆ ที่ในวันเดียว เพียงแค่ให้ได้ชื่อว่าได้ไปและมีรูปโพสต์อวดกัน
ซ้ำร้ายเมื่อไปถึงแหล่งท่องเที่ยวดังหรือร้านเด็ดเหล่านี้ก็ต้องเครียดและอารมณ์เสียกับผู้คนที่เนืองแน่นอีก

BBC สื่อดังของอังกฤษรายงานอิงจากทัศนะของผู้บริหารบริษัทท่องเที่ยวและบริษัทที่ปรึกษาในธุรกิจนี้ว่าคนทั่วโลกจะเที่ยวแบบ Long Getaways มากขึ้น และนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มก็ยินดีจ่ายเพิ่มขึ้น แลกกับการได้ดื่มด่ำประสบการณ์ท่องเที่ยว ทั้งอาหารและวัฒนธรรมต่าง ๆ ให้ลึกยิ่งขึ้น ซึ่งปลายทางก็คือสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้นนั่นเอง
Skift บริษัทที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยวเผยว่าได้มีการสำรวจกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวตามประเทศใหญ่ ๆ อย่าง สหรัฐฯ จีน อินเดีย และเยอรมนี โดยปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่างทุกประเทศ เกิน 70% ที่อยากเที่ยวแบบ Long Getaways
ผลดีของเทรนด์ Long Getaways คือจะทำให้บรรดาแหล่งท่องเที่ยวรอง ๆ ที่เงียบสงบ หรือยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก มีรายได้มากขึ้น ทว่าจะทำให้เกิดเทรนด์ย่อย ๆ ตามมานั่นคือ การผสมการเที่ยวพักผ่อนกับทำงานเข้าด้วยกัน (Bleisure) และลาพักร้อนยาว ๆ แบบคาบเกี่ยววันหยุดราชการแต่ยังได้เงิน (Paid Time Off-PTO) ในหมู่พนักงานบริษัททั่วโลก
DMMO
อีกเทรนด์ใหญ่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกปี 2025 คือ การทำการตลาดแหล่งท่องเที่ยวพร้อมกับการบริหารจัดการที่ดีขึ้น (Destination Marketing Destination Management Organization-DMMO)
ต่างจากเดิมที่เน้นโหมโปรโมตและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อทำเงินเพียงอย่างเดียว (Destination Marketing Organization-DMO) จนเกิดวิกฤตแหล่งท่องเที่ยวช้ำหลังรับนักท่องเที่ยวมากเกินพอดี (Overtourism)
Overtourism ที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลก คือสเปน โดยแม้สเปนทำรายได้จากการท่องเที่ยวได้มหาศาลในแต่ละปี และปี 2024 รายได้เข้าประเทศจากอุตสาหกรรมนี้เกิน 93,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.1 ล้านล้านบาท) จนเศรษฐกิจประเทศโตแซงกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโร) แต่ก็มีผลเสียตามมา
นั่นคือราคาบ้านและค่าเช่าห้องแพงทั่วประเทศ ส่วนเมืองดัง ๆ อย่างบาร์เซโลนาและเกาะอิบิซ่า เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ ซึ่งรวมไปถึงนักท่องเที่ยวพฤติกรรมแย่ จนคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่น ทำให้ชาวสเปนทนไม่ไหวรวมตัวประท้วงขับไล่นักท่องเที่ยว

นี่ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ต้องออกนโยบายบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว หรือทำแคมเปญต่าง ๆ เช่น สเปนเปลี่ยนสโลแกนท่องเที่ยวเมืองบาร์เซโลนา จาก Visit Barcelona เป็น This is Barcelona เพื่อสื่อให้ชาวต่างชาติท่องเที่ยวอย่างมีจิตสำนึกและใส่ใจ
และนายกรัฐมนตรีสเปนก็เสนอให้ขึ้นภาษีซื้อบ้านกับชาวต่างชาติ 100% เพื่อลดจำนวนการนำบ้านไปทำห้องพักลงแพลตฟอร์ม Airbnb จนราคาบ้านในสเปนแพงและหาห้องเช่ายาก
ขณะที่รัฐบาลเดนมาร์กก็ทำแคมเปญ CopenPay ส่วนลดให้นักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กันเมื่อปี 2024 และจะสานต่ออีกในปี 2025 พร้อมความร่วมมือจากโรงแรมและบริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ฝรั่งเศสก็มีแนวโน้มที่จะจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ หลังผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์เห็นว่า นักท่องเที่ยว 8.7 ล้านคนต่อปีมากเกินกว่า 4 ล้านคนที่ตั้งไว้ จนทำให้คนแน่นเกินไป ตัวอาคารเสียหายและคนส่วนใหญ่ที่มาก็ไม่ได้ดื่มด่ำกับของที่จัดแสดงอย่างเต็มที่
CNN สื่อดังของสหรัฐฯ ที่รายงานเรื่องเทรนด์ DMMO ทิ้งท้ายว่า การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวจะประสบผลสำเร็จ โดยที่แหล่งท่องเที่ยวก็ไม่ช้ำและรายได้เข้ามาอย่างเหมาะสมนั้น ต้องการความร่วมมือกันแบบไตรภาคี คือ รัฐบาล อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และคนท้องถิ่นตามแหล่งท่องเที่ยว/bbc, cnn
–
