“เราจุดพลุเรื่อง EV ให้เกิดขึ้นในบ้านเราในช่วงตั้งไข่ก็จริง เราต้องการเป็นผู้นำในการผลิตรถ EV ก็ใช่ แต่ในวันที่ดีมานด์ไม่มากอย่างที่คาด รถ EV จากจีนก็เข้ามาในตลาดจำนวนมาก ทั้งในกลุ่มแมสเซกเมนต์และรถครอบครัว ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เราสู้ได้ยาก”
ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตอบคำถามของ Marketeer เกี่ยวกับการที่ปตท. ติดเบรกการลงทุนโครงการรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี)
ทั้งที่เมื่อปี 2564 เคยเป็นผู้จุดพลุการเป็นผู้ผลิตรถอีวีในประเทศไทย ด้วยการให้บริษัทในเครือ “อรุณพลัส” ร่วมลงทุนกับ Foxconn จากไต้หวัน ตั้งบริษัทร่วมทุน “ฮอริซอน พลัส” วางแผนใช้งบลงทุน 37,000 ล้านบาท พร้อมผลิตรถยนต์ EV สู่ตลาดภายในปี 2567 หวังจะให้ธุรกิจนี้เป็นสตาร์ดวงใหม่ขององค์กร
แต่เมื่อปลายปี 2567 ได้มีการประกาศหยุดลงทุนการผลิตและปรับสัดส่วนการลงทุนของบริษัท “ฮอริซอน พลัส” จากเดิม ปตท. ถือหุ้น 60% Foxcon 40% ก็เหลือ ปตท. ถือหุ้น 40% Foxcon 60% แทน
“การบริหารบริษัทเล็กให้ได้ก็ต้องบริหารเงินให้ดีด้วย จะลงทุนไปเรื่อย ๆ แต่ยังไม่เห็นโอกาสจะไปต่อหรือพอแค่นี้ก็ต้องอาศัยการตัดสินใจที่เร็วและแม่นยำด้วย และที่สำคัญเราต้องมี Learning Curve เรื่องที่ไม่มีความชำนาญต้องเรียนรู้ให้ไว”
แต่เมื่อเราเรียนรู้แล้วว่าหากไม่แข็งแรงพอ ไม่เก่งพอ ก็ต้องกล้าที่จะถอยออกมา อย่างรถอีวี เป็นสิ่งที่ดีเพราะยังไม่ได้เสียหายเรื่องการลงทุน แค่ซื้อที่ดินยังไม่ได้สร้างโรงงาน และเรากับพันธมิตรยังมั่นใจว่าในเรื่องการผลิตในอนาคตอาจจะมีความเป็นไปได้ ก็ต้องลองดูจังหวะว่าแลนด์สเคปของอีวีต่อไปจะเปลี่ยนไปอย่างไร
สำหรับวันนี้ ปตท. มองว่าธุรกิจที่เหมาะสมที่สุดคือการลงทุนใน EV ที่อยู่ปลายน้ำ โดยบริษัทยังคงขยายการลงทุนในกลุ่ม “อีวี ชาร์จเจอร์” เพื่อสร้างระบบนิเวศของ EV ที่สมบูรณ์และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในอนาคต ซึ่งจะต้องมีการควบรวมแบรนด์ต่าง ๆ ภายใต้กลุ่ม ปตท. และใช้ OR Ecosystem ที่มี Touch Point อยู่ทั่วประเทศให้เป็นประโยชน์
ตามไปอ่าน วิธีคิดของบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย ว่าจะรับมือกับธุรกิจใหม่ที่ไม่ได้ใหญ่เหมือนเดิมและมีความท้าทายตลอดเวลาได้อย่างไร
นอกจากธุรกิจของกลุ่มพลังงานธุรกิจ (Hydrocarbon & Power) เช่น การสำรวจและผลิต ก๊าซ น้ำมัน ปิโตรเคมีและการกลั่น ค้าปลีกน้ำมัน และธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งปตท. ก็ยังคงเดินหน้าเรื่องการสร้างความมั่นคงให้กับประเทศต่อไป พร้อม ๆ กับการสร้างสมดุลระหว่างคน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
ในเรื่องของกลุ่มธุรกิจใหม่ (Non-Hydrocarbon) ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ ปตท. อาจจะไม่มีความเชี่ยวชาญแต่จำเป็นต้องเริ่มเพื่อเข้าสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้นเมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน
แต่ในยุคของดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง CEO ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คนปัจจุบันท่ามกลางเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เกิดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) จึงได้มีการทบทวนแผนกลยุทธ์ใหม่ในการทำธุรกิจ (Revisit) อย่างรวดเร็ว นอกจากเรื่องอีวีแล้ว ปตท. ยังคงเดินหน้าต่อไปในเรื่อง Life Science รวมทั้งแนวทางความยั่งยืน (Sustainability) ในทุกมิติ
เพื่อสอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ใหม่ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD”
Life Science จะมีบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) เป็นแกนนำในการลงทุนธุรกิจ ทั้งธุรกิจยา อาหาร อุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งจะตอบโจทย์ในเรื่อง Ageing society สอดคล้องกับเรื่องของเมกะเทรนด์ในอนาคต
การเข้าไปถือหุ้นใหญ่ 38% ในบริษัท โลตัส ฟาร์มาซูติคอล จำกัด บริษัทผู้ผลิตยาสามัญชั้นนำจากไต้หวัน ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ส่งยาไปขายประมาณ 18 ประเทศทั่วโลกทำให้อินโนบิกสามารถเติบโตได้ดี มีความสามารถในการแข่งขัน และสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว
ในอนาคต ปตท. อาจไม่จำเป็นต้องถือหุ้นอินโนบิกเต็มทั้ง 100% แต่พร้อมที่จะเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่มีองค์ความรู้ มีโนว์ฮาวเพื่อทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง และเมื่อไหร่ที่อินโนบิกสามารถพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน (Self-funding) ก็สามารถแยกออกมาเป็นบริษัทใหม่ในเครือ ปตท. ก็ได้
ปัจจุบันสินค้าของอินโนบิกที่วางขายแล้วในบ้านเรา เช่นพวกวิตามินทั่วไป วิตามินซี แคลเซียม บำรุงสมอง ตา และเส้นผม
“เราก็ต้องการบอกผู้บริโภคนะครับว่าว่าอินโนบิกเป็นบริษัทในเครือของ ปตท. แต่ในเรื่องนี้มีทั้งข้อดีและไม่ดีนะครับ ปตท. เป็นบริษัทใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือก็จริง แต่จะมีคำถามตามมาว่า เอ๊ะ! แล้วจะเก่งเรื่องยา เรื่องสุขภาพหรือเปล่า”
ความท้าทายก็คือเราต้องพยายามสร้างองค์ความรู้ สร้างพันธมิตรในเชิงธุรกิจเพิ่มขึ้น แต่ในวงการแพทย์จะรู้จักและยอมรับบริษัทอินโนบิกระดับหนึ่งแล้วจากการทำงานร่วมกันในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
และเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะเป็นบทบาทของกลุ่มธุรกิจใหม่คือ สิ่งที่เราจะเพิ่มมา คือในเรื่องความยั่งยืน ทำอย่างไรที่จะทำธุรกิจพลังงานควบคู่กับการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาใหญ่ในสังคมโลกปัจจุบัน
โดยผ่านแนวทาง C3 ได้แก่
Climate Resilience Business ปรับพอร์ตธุรกิจให้เติบโต ควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอน Carbon-Conscious Asset ปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด
Coalition, Co-Creation and Collective Efforts for All ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พัฒนาเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก หรือการใช้เทคโนโลยี CCS (Carbon Capture and Storage
ซึ่ง ปตท. จะเร่งผลักดันธุรกิจใหม่ด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CCS และธุรกิจไฮโดรเจน เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการกักเก็บคาร์บอนจากกระบวนการผลิตของบริษัทในกลุ่ม รวมถึงการลงทุนในธุรกิจไฮโดรเจนต่างประเทศ รองรับการใช้พลังงานสะอาด
“อรุณพลัสเราปรับโครงสร้างองค์กรให้เล็กลงเพื่อให้แข็งแรงมากขึ้น ส่วนอินโนบิกปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อการเติบโต ส่วน Decarbonization เป็นเรื่องที่ต้องทำ จำเป็นอย่างมาก”
บุรณิน ย้ำ ♦
–
