ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การตัดสินใจปรับขึ้นภาษีศุลกากรอย่างรุนแรงของสหรัฐอเมริกาได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วระบบการค้าโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สมัยที่ 2 ที่ดำเนินนโยบายแบบ “America First” อย่างเข้มข้นมากขึ้นกว่าสมัยแรก ส่งผลให้มีการปรับขึ้นภาษีศุลกากรกับสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนที่ถูกปรับขึ้นภาษีสูงถึง 25% ในสินค้าหลายรายการ
มาตรการภาษีที่เข้มงวดนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศคู่ค้าที่สำคัญๆ เท่านั้น แต่ยังอาจจุดชนวนความขัดแย้งทางการค้าครั้งใหม่ที่อาจลุกลามบานปลายจนกลายเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ ซึ่งถ้ารุนแรงจริงๆก็อาจจะนำไปสู่การตอบโต้ในด้านภาษีศุลกากรแบบแรงมาแรงกลับ(Tit for Tat) ได้เลย
ถึงแม้ว่าจะมีความกังวลจากหลายฝ่าย แต่นโยบายการปกป้องทางการค้าของสหรัฐฯ ก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งสะท้อนว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ความต้องการในการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
เราอยากจะชวนคุณย้อนกลับไปดูและวิเคราะห์ถึงสาเหตุว่าทำไมทรัมป์จึงต้องออกมาปกป้องอุตสาหกรรมบ้านเกิดมากขนาดนี้ รวมถึงหากทุกอย่างถูกผลักดันไปจนถึงขีดสุดแล้ว ผลกระทบและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จะส่งผลให้เกิดอะไรขึ้น
นโยบายภาษีศุลกากรล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร 3 ฉบับ ที่กำหนดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ซึ่งกำหนดให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025
สรุปสถานการณ์ปัจจุบันเรื่องภาษีศุลกากรอัตราใหม่ในยุคทรัมป์ 2.0
วันที่มีผลบังคับใช้ อัตราภาษีศุลกากรจะใช้กับสินค้าที่นำเข้ามาเพื่อบริโภคหรือถอนออกจากคลังสินค้า เริ่มตั้งแต่เวลา 00:01 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออกของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 (12:01 AM Eastern Standard)
ข้อยกเว้น : สินค้าที่อยู่ในการขนส่งก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 จะได้รับการยกเว้นจากภาษีศุลกากรนี้
ยกเลิก De Minimis : ทรัมป์สั่งยกเลิกกฎระเบียบการนำเข้าสินค้าแบบ De Minimis ตามมาตรา 321 ซึ่งหมายความว่าสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์จะต้องเสียภาษีศุลกากร
ใครส่งสัยเรื่อง De Minimis ย้อนกลับไปอ่านบทความเก่าของเราได้ที่ จีนโดนสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีสูง แล้วผู้ผลิตสินค้าจีนเอาตัวรอดอย่างไร
ระยะที่บังคับใช้ : มีผลบังคับใช้อย่างไม่มีกำหนด จนกว่าประธานาธิบดีจะตัดสินใจยกเลิกภาษีศุลกากรนี้
อัตราภาษีศุลกากรแยกตามประเทศ
แคนาดา
- ให้บังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรอยู่ที่ 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากแคนาดาทั้งหมด (ไม่รวมทรัพยากรพลังงาน)
- ให้บังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรอยู่ที่ภาษีศุลกากร 10% สำหรับทรัพยากรพลังงาน (รวมถึงน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลั่น) ที่นำเข้าจากประเทศแคนาดา
เม็กซิโก
- ให้บังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรอยู่ที่ 25% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากเม็กซิโกทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
จีน
- ให้เก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นอีกที่ 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีนทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
สำหรับจีน เมื่อครั้งหาเสียงทรัมป์เคยบอกว่าเค้าตั้งใจจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมดในอัตรา +60% แต่เมื่อประกาศจริงการที่ทรัมป์ประกาศกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีนเบื้องต้นอยู่ที่ 10% ซึ่งก็เบากว่าอัตรา 60% ที่ทรัมป์เคยขู่เอาไว้ว่าจะขึ้นในช่วงหาเสียง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นอัตราที่เพิ่มจากภาษี 25% ซึ่งก็ครอบคลุมการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว
สำหรับแคนาดา ทรัมป์บอกว่าจะเก็บภาษีน้ำมันดิบจากแคนาดา 10% แต่สินค้าอื่นๆ จะถูกเก็บภาษี 25%
สำหรับสินค้าจากจีนที่ ถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% จากระดับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน นั้นทรัมป์ระบุว่าไม่มีข้อยกเว้น แต่อาจมีการเพิ่มภาษีขึ้นอีกได้หากถูกใช้มาตรการตอบโต้
- อัปเดทล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2025 ทรัมป์สั่งเลื่อนการบังคับใช้ภาษีศุลกากรอัตราใหม่กับเม็กซิโก และ แคนาดา โดยให้เหตุผลว่า รอการเจรจาเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาการค้ายาเสพติดและปัญหาการย้ายถิ่นฐาน
ทำไมทรัมป์ใช้นโยบายภาษีศุลกากรแบบเข้มงวด
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 และเป็นสมัยที่ 2 ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษประธานาธิบดี (Executive Order) กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาอยู่ที่ 25% (แม้ว่าภาคพลังงานของแคนาดาจะกำหนดภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าที่ 10%) และภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10%
ทรัมป์ได้กล่าวถึงภาษีศุลกากรในโพสต์ต่างๆ บน Truth Social ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาเอง โดยมีการอัปเดตล่าสุดที่ประกาศคำสั่งอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับภาษีศุลกากร ทรัมป์บอกว่าว่าการตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นเพื่อ “ปกป้อง” ชาวอเมริกัน “เนื่องจากภัยคุกคามร้ายแรงจากคนต่างด้าวที่ผิดกฎหมายและยาเสพติดร้ายแรงที่คร่าชีวิตพลเมืองของเรา ซึ่งรวมถึงเฟนทานิลด้วย”
ทุกนโยบายที่สุดโต่งต้องมีเขาคนนี้อยู่เบื้องหลัง : Business Insider
ทรัมป์ กล่าวยกย่อง ภาษีศุลกากร มาโดยตลอดว่า เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ทรงประสิทธิภาพ ทรัมป์ยงเคยพูดอีกว่า “ภาษีศุลกากร” เป็นคำที่สวยงามที่สุดอันดับ 4 ในพจนานุกรม รองจาก “พระเจ้า” “ความรัก” และ “ศาสนา”
และทรัมป์ก็ยังเคยพูดย้ำเสมอมาว่า อดีตประธานาธิบดี วิลเลียม แมคคินลีย์(อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 25 ) ว่าเปรียบเสมือน นายอำเภอแห่งภาษีศุลกากร(The tariff sheriff) เพราะทรัมป์เชื่อว่า แมคคินลีย์ ได้สร้างยุคแห่งความรุ่งเรืองของอเมริกาขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยการบังคับใช้นโยบายภาษีศุลกากรอย่างเต็มที่ แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงทศวรรษ 1890 แต่นั่นเกิดขึ้นจากปัจจัยอื่นๆ เช่น การอพยพเข้าประเทศที่แทบไม่มีข้อจำกัด
ในวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์ กล่าวในทำเชิงว่า การบังคับใช้ภาษีศุลกากรแบบเข้มข้นนั้นมาจากเหตุผลหลักๆ 3 ข้อด้วยกัน คือ 1.เพิ่มรายได้ 2.สมดุลการค้า และ 3.บีบให้ประเทศคู่ค้าต้องเจรจา เราไปขยายความทีละข้อ
1.เพิ่มรายได้
ภาษีศุลกากรถือเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งตัวเลขรายได้จากภาษีศุลกากรก่อนที่ทรัมป์จะได้รับเลือกให้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี(ก่อนปี 2017) นั้นก็มีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละปี แต่ถ้าจะให้สรุปเร็วๆ อย่างปี 2015 รายได้จากภาษีศุลกากรทั้งหมดรวมอยู่ที่ประมาณ 33,000 ล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่มาจากสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนปี 2016 คาดว่ารายได้ภาษีศุลกากรจะอยู่ที่ประมาณ 34,000 ล้านดอลลาร์
ภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์สร้างรายได้มหาศาล โดยมีการประมาณการว่าภาษีศุลกากรอาจเพิ่มรายได้ให้กับอเมริการเป็นเงินราวๆ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ปี 2025 ถึง 2034 (เฉลี่ยปีละ 1 แสน 2 หมื่นล้านดอลลาร์) หากเรียกเก็บจากการนำเข้าสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีนเป็นการถาวร(โดยไม่มีการเปลี่ยนเปลี่ยนจากสิ่งที่ทรัมป์เซ็นคำสั่งไป) รายได้นี้ถือเป็นการชดเชยต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการลดหย่อนภาษี ซึ่งอาจสูงเกิน 5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
2.รักษาสมดุลทางการค้า
ปัจจุบันอเมริกากำลังเผชิญกับการขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาล โดยอเมริกาขาดดุลการค้าเฉลี่ยต่อปีถ้านับตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2024 อยู่ที่ประมาณ 688,480 ล้านดอลลาร์(ต่อปี) แบ่งเป็นการขาดดุลให้กับแต่ละประเทศท็อป 5 ดังนี้
1.จีน 279,400 ล้านดอลลาร์
2.เม็กซิโก 152,400 ล้านดอลลาร์
3.เวียดนาม 104,600 ล้านดอลลาร์
4.เยอรมนี 83,000 ล้านดอลลาร์
5.ญี่ปุ่น 71,200 ล้านดอลลาร์
ทรัมป์บอกว่าภาษีศุลกากรจะช่วยชดเชยรายได้ทางภาษีที่หายไป(จากการลดหย่อนภาษีให้กับคนในประเทศ) โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขาได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญในที่ประชุมประจำปีของ World Economic Forum ว่าภาษีศุลกากรจะนำรายได้เข้าคลังของสหรัฐฯ หลายร้อยพันล้านดอลลาร์ หรืออาจถึงระดับล้านล้านดอลลาร์
ต่อไปนี้สินค้าที่นำเข้าจากจีนจะน้อยลง อย่างน้อยก็ในยุคของทรัมป์ 2.0 : CNN
ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์การขาดดุลการค้ากับประเทศต่างๆ เช่น จีน มานานแล้ว โดยอ้างว่าสหรัฐฯ สูญเสียรายได้หลายพันล้านดอลลาร์จากการค้าที่ไม่เป็นธรรม ทรัมป์มองว่าภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือในการแก้ไขความไม่สมดุลเหล่านี้ โดยต้องการทำให้สินค้าจากต่างประเทศแข่งขันกับสินค้าของสหรัฐฯ ได้น้อยลง
ในปี 2023 สหรัฐฯ บันทึกการขาดดุลการค้าสูงถึง 773.4 พันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้บ่งชี้ว่ามูลค่าการนำเข้าเกินมูลค่าการส่งออก โดยการนำเข้ารวมอยู่ที่ประมาณ 3,826.9 พันล้านดอลลาร์ และการส่งออกอยู่ที่ประมาณ 3,053.5 พันล้านดอลลาร์
ทรัมป์มักวิจารณ์นโยบายการค้าของอเมริกาว่าเป็นการ “ให้เงินอุดหนุน” แก่แคนาดาและเม็กซิโก โดยกล่าวว่าสหรัฐฯ กำลัง “สูญเสีย” เงินหลายแสนล้านดอลลาร์ให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ทรัมป์กำลังพูดถึง “ช่องว่างทางการค้า” อย่างคลุมเครือ ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกและการนำเข้าของอเมริกา นักเศรษฐศาสตร์บางคนเตือนว่าภาษาของทรัมป์เกี่ยวกับช่องว่างทางการค้านี้เป็นการนำเสนอที่ไม่ยุติธรรมต่อสิ่งที่กลายเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงความสามารถในการซื้อบริการจากประเทศอื่นๆ และสินค้าที่แทบไม่ได้ผลิตในประเทศ เช่น กาแฟ
3.บีบให้ประเทศคู่ค้าต้องเจรจา
ทรัมป์มองว่าภาษีศุลกากรสามารถใช้เป็นเครื่องมือที่บีบให้ประเทศต่างๆ ต้องยอมจำนนในเรื่องที่เขาเชื่อว่าเป็นผลประโยชน์สูงสุดของอเมริกา(ก็คือบีบให้ต้องหันหน้ากลับมาคุยกันใหม่หน่อยแล้วนั่นแหละ) แม้ว่าภาษีศุลกากรจะเรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าก็จริง(ผู้นำเข้าก็คือบริษัทในอเมริกา)
แต่ก็สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบีบสินค้าบางประเภทออกจากรายการสินค้านำเข้าทางอ้อม โดยเมื่อสินค้ามีราคาแพงขึ้นมากๆ ก็จะทำให้ผู้ซื้อ(บริษัทนำเข้า) ไม่อยากจะนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ถูกเก็บภาษีศุลกากรสูงเข้ามาขาย(เพราะเอาเข้ามาก็ต้องตั้งราคาสูง พอราคาสูงคนก็ไม่อยากซื้อ) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศผู้ส่งออกสินค้าเหล่านั้น และทำให้บางประเทศต้องหาทางเจรจากับสหรัฐเพื่อหาทางลดหย่อนหรือเลี่ยงไม่ต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงขนาดนั้นก็ได้
ทรัมป์บอกว่าเขาต้องการให้ แคนาดาและเม็กซิโก ยุติวงจรการนำเข้ามาซึ่ง ผู้อพยพแบบผิดกฎหมายและยาเสพติดเข้าสู่สหรัฐฯ ส่วน จีน ทรัมป์กล่าวว่าภาษีศุลกากรจะถูกใช้เพื่อกดดันให้รัฐบาลจีนทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเขาในการลงโทษประหารชีวิตผู้ที่ถูกจับได้ว่าลักลอบส่งออกเฟนทานิลไปยังสหรัฐฯ
นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้กันว่าสหรัฐฯ กำลังใช้มาตรการภาษีศุลกากรที่เข้มงวดเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าเป็นหลัก ทรัมป์เน้นย้ำแนวทาง “อเมริกาต้องมาก่อน(America First)” โดยมุ่งหวังที่จะส่งเสริมการผลิตภายในสหรัฐฯ โดยกำหนดภาษีนำเข้าสูงๆ
นโยบายนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สินค้าจากต่างประเทศมีราคาแพงขึ้น ซึ่งอาจจะสามารถจูงใจให้คนอเมริกาหันไปซื้อสินค้าของสหรัฐฯ แทน
ทรัมป์กล่าวว่า “ข้อความของผมที่จะส่งไปถึงยังทุกธุรกิจในโลกนี้นั้นเรียบง่ายมาก มาผลิตสินค้าของคุณในอเมริกา…” อเมริกาในยุคทรัมป์เน้นไปที่การแก้ไขปัญหาการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศต่างๆ เช่น จีน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าบิดเบือนสกุลเงินของตนและมีส่วนร่วมในการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
ผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หากทรัมป์ดำเนินการเก็บภาษีศุลกากรในขอบเขตจำกัด เขาได้กล่าวว่าสินค้าที่จะได้รับผลกระทบจะเน้นไปที่ เภสัชภัณฑ์ เหล็ก และชิปคอมพิวเตอร์ ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่าน้ำมันอาจไม่ถูกจัดอยู่ในรายการสินค้าที่ถูกเก็บภาษีจากเม็กซิโกและแคนาดา และฝ่ายบริหารของเขาจะตัดสินใจเรื่องนี้อย่างเร็วที่สุดในคืนวันพฤหัสบดี
อย่างไรก็ตาม หากภาษีศุลกากรถูกกำหนดในวงกว้างขึ้น นั่นอาจทำให้ราคาสินค้าจำนวนมากที่ผู้บริโภคซื้อตามปกติสูงขึ้น เนื่องจาก เม็กซิโก จีน และแคนาดาเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอเมริกา ราคาสินค้าบางรายการอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างเช่น เนื่องจากรถยนต์ที่ขายในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีการผลิตชิ้นส่วนบางส่วนจากเม็กซิโกและแคนาดา ภาษีศุลกากรจะเพิ่มต้นทุนของรถยนต์ในอเมริกาอย่างน้อยหลายพันดอลลาร์ ตามการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง อาหาร และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะสูงขึ้นหากทรัมป์บังคับใช้ภาษีศุลกากรกับแคนาดาและเม็กซิโก
ด้านสภาหอการค้าสหรัฐ (The US Chamber of Commerce) ออกมาย้ำเตือนว่า ภาษีศุลกากรจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาการลักลับนำเข้าสินค้าบริเวณชายแดนที่ยืดเยื้อมาหลายปีได้ แต่กลับเป็นภัยคุกคาม “ห่วงโซ่อุปทานพลิกกลับ” และเพิ่มราคาสินค้าสำหรับครอบครัวชาวอเมริกัน
ซุง วอน ซอน ศาสตราจารย์ด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลอยอล่า แมรีเมาท์ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก SS Economics กล่าวว่า
“ผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด” “เมื่อพูดถึงภาษีศุลกากร มันคือสงครามเศรษฐกิจ และในสงคราม ทุกคนล้วนสูญเสีย” “แต่หวังว่าเราจะได้ผลลัพธ์และข้อสรุปที่ดีขึ้นจากความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่เราจะต้องเผชิญ”
สินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐประมาณหนึ่งในสามมาจากสามประเทศที่ทรัมป์กำหนดเป้าหมายเมื่อวันเสาร์ สินค้าของพวกเขาเป็นหนึ่งในสินค้าทั่วไปและสำคัญที่สุดที่ชาวอเมริกันใช้ รวมถึงผลไม้และผัก เนื้อสัตว์ ก๊าซ รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น เสื้อผ้า ไม้แปรรูป เบียร์ และสุรา
ภาษีใหม่ของอเมริกาอาจนำไปสู่สงครามการค้าครั้งใหม่ได้อย่างไร?
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างปี 2018 ถึง 2019 ถือเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของความซับซ้อนและผลที่ตามมาของความขัดแย้งทางการค้า ในช่วงเวลาดังกล่าว สหรัฐฯ ได้กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่าประมาณ 350,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์
ความขัดแย้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีตึงเครียดเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลกอีกด้วย โดยส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ และส่งผลให้ต้นทุนของผู้บริโภคในทั้งสองประเทศเพิ่มขึ้น ภาษีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ประมาณ 18% หรือคิดเป็น 2.6% ของ GDP และยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจีนในลักษณะเดียวกัน ส่งผลให้ตลาดหยุดชะงักและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
บทเรียนสำคัญประการหนึ่งจากภาษีนำเข้าที่สูงในอดีตก็คือ แม้ว่าภาษีนำเข้าเหล่านี้อาจมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่บ่อยครั้งที่ภาษีเหล่านี้กลับส่งผลเสียที่ไม่ได้ตั้งใจ การวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าการกำหนดภาษีศุลกากรมีแนวโน้มที่จะทำให้ราคาสินค้าของผู้บริโภคสูงขึ้นและลดสวัสดิการทางเศรษฐกิจโดยรวม ตัวอย่างเช่น การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าภาษีเหล็กส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมการบริโภคเหล็กอย่างไม่สมส่วน ส่งผลให้มีการสูญเสียตำแหน่งงานมากกว่าการเพิ่มขึ้นในภาคส่วนที่ได้รับการคุ้มครอง
นอกจากนี้ ผลกระทบของสงครามการค้าต่อรายได้จริงนั้นชัดเจนมาก ทั้งผู้บริโภคในสหรัฐฯ และจีนต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่นำเข้าที่สูงขึ้น ส่งผลให้รายได้จริงโดยรวมลดลงในทั้งสองประเทศ
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจเชิงลบของสงครามการค้านั้นเห็นได้ชัดเจนในทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนส่งผลให้ผลผลิตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับความเสียหายเป็นมูลค่าประมาณ 121,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2019 และตำแหน่งงานลดลงประมาณ 245,000 ตำแหน่งเนื่องจากต้นทุนปัจจัยการผลิตที่เพิ่มขึ้นและมาตรการตอบโต้
ในทำนองเดียวกัน ผู้ส่งออกของจีนก็ต้องเจอกับผลกำไรที่ลดลงเนื่องจากอัตรากำไรของพวกเขาลดลงอย่างมากเนื่องจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
แคนาดา เม็กซิโก และจีน ตอบโต้ภาษีศุลกากรของทรัมป์อย่างไร?
ทั้งแคนาดาและเม็กซิโกได้ประกาศมาตรการตอบโต้ทางภาษีศุลกากรทันที หลังจากที่ทรัมป์ลงนามในคำสั่งเมื่อวันเสาร์ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ Tintelnot เตือนว่าอาจนำไปสู่ “สงครามการค้า” ที่กว้างขึ้น และทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิม
แคนาดา
นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ได้ออกมาแถลงในคืนวันเสาร์โดยประกาศ มาตรการภาษีตอบโต้ 25% มูลค่า 155 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสินค้าจากอเมริกา พร้อมกล่าวว่า “เราไม่ต้องการอยู่ในสถานการณ์นี้”
ต่อมาในวันอาทิตย์ ทรูโดได้โพสต์ข้อความบน X สนับสนุนให้ประชาชนหันมาเลือกใช้สินค้าในประเทศ
“ตอนนี้เป็นเวลาที่เราต้องเลือกใช้สินค้าที่ผลิตในแคนาดา ตรวจสอบฉลากสินค้า และร่วมมือกัน ที่ไหนที่เราทำได้ ขอให้เลือกใช้สินค้าของแคนาดา”
ทั้งนี้รัฐบาลแคนานามีแผนที่ขึ้นภาษีสำหรับนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อีก 25% สำหรับมูลค่าสินค้าที่แคนาดานำเข้าจาก สหรัฐ ซึ่งมีมูลค่าราว 1.55 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนสินค้ามูลค่าอีกกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเกิดขึ้นหลังจากมาตรการของทรัมป์มีผลบังคับใช้ และอีก 1.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมีผลในอีก 21 วัน
สินค้าที่ทางแคนาดาเล็งจะขึ้นภาษี ประกอบด้วย เบียร์ ไวน์ บูร์บง ผลไม้ และน้ำผลไม้ ผักต่าง ๆ น้ำหอม เสื้อผ้า และรองเท้า เช่นเดียวกันกับเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอุปกรณ์กีฬาและเฟอร์นิเจอร์ ไม้และพลาสติกก็จะถูกจัดเก็บภาษีเพิ่มเช่นกัน
แคนาดาจะตอบโต้สหรัฐด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนในประเทศหันมาซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในแคนาดาแทนสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐ : Austin American-Statesman
เม็กซิโก
ประธานาธิบดีเม็กซิโก คลอเดีย เชนบาว์ม (Claudia Sheinbaum) ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ว่า เธอได้สั่งให้ กระทรวงเศรษฐกิจของเม็กซิโกเตรียมแผนตอบโต้ รวมถึง “มาตรการทางภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเม็กซิโก
ประธานาธิบดีคลอเดีย ไชน์บาว์ม ของเม็กซิโก : CNN
จีน
กระทรวงการต่างประเทศของจีนออกแถลงการณ์ว่า จีน “ขอประณามและคัดค้านมาตรการนี้อย่างหนักแน่น” และจะ “ใช้มาตรการตอบโต้ที่จำเป็น” และรัฐบาลจีนยังจะยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (World Trade Organization – WTO) ต่อสหรัฐฯ ที่ “ดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง” และจะใช้มาตรการตอบโต้ “เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเอง”
ติง เสวี่ยเซียง รองนายกรัฐมนตรีของจีน กล่าวในการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ของสวิตเซอร์แลนด์เมื่อเดือนที่แล้วว่า รัฐบาลจีนกำลังมองหาทางแก้ไขความตึงเครียดทางการค้าที่ต่างฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ด้วยกัน (Win-Win solution) และต้องการขยายฐานการส่งออก
แถลงการณ์ยังกล่าวถึงปัญหายาเสพติด โดยเน้นว่าจีนมีมาตรการที่เข้มงวดเกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติด และประเด็นเรื่อง เฟนทานิล (Fentanyl) เป็นปัญหาของสหรัฐฯ เอง
ติง เสวี่ยเซียง รองนายกรัฐมนตรีของจีน เชื่อว่ามาตรการของทรัมป์ไม่เป็นธรรมและจีนจะตอบโต้สหรัฐอย่างแน่นอน : Reuters
เมื่อทั้งเม็กซิโก แคนาดา และจีนซัดมา ทรัมป์ก็ซัดกลับผ่าน Truth Social โดยระบุว่า หากบริษัทต่างๆ ผลิตสินค้าในสหรัฐฯ ก็จะไม่ต้องรับผลกระทบจากภาษีศุลกากร
“สหรัฐฯ มีปัญหาขาดดุลการค้าครั้งใหญ่กับแคนาดา เม็กซิโก และจีน (รวมถึงเกือบทุกประเทศ!) เรามีหนี้กว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์ และเราจะไม่เป็น ‘ประเทศโง่’ อีกต่อไป” เพร้อมยืนยันว่า นี่จะเป็น “ยุคทองของอเมริกา” แม้ว่าอาจมี “ความเจ็บปวดบางอย่าง” จากผลกระทบของภาษีศุลกากร ทรัมป์กล่าวในท้ายที่สุดว่า “ทั้งหมดนี้จะคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย”
การจะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อสินค้าประเภทเซมิคอนดักเตอร์ เหล็ก อะลูมิเนียม น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ยาทั้งหมดที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ และแน่นอนว่าภาษีเหล่านี้อาจทำให้ผู้บริโภคเจอสภาวะความยากลำบากก่อให้เกิด “ความติดขัดในระยะสั้น” ต่อผู้บริโภค แต่จะสร้างประโยชน์ในระยะยาวต่อภาคการผลิตของสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์เชื่ออย่างนั้น
ด้านผลกระทบที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะต้องเกิดขึ้นกับอเมริกาอย่างแน่นอนและเตือนว่า มาตรการทางภาษีนี้อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจอเมริกาเอง
แบรด เซตเซอร์ นักวิชาการแห่ง Council on Foreign Relations ระบุว่า สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดามีมูลค่ารวมกันราว 3% ของจีดีพีสหรัฐฯ การเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวลง
ในการดำรงตำแหน่งสมัยแรกเมื่อปี 2018 ทรัมป์เป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญาการค้าเสรีแถบอเมริกาเหนือ กับเม็กซิโกและแคนาดา โดยมีเป้าหมายลดยอดขาดดุลการค้ากับสองประเทศ แค่สหรัฐฯ กลับขาดดุลการค้ากับทั้งสองประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปี 2023 ที่อเมริกาขาดดุลการค้าในระดับ 161,000 ล้านดอลลาร์กับเม็กซิโก และ 72,000 ล้านดอลลาร์กับแคนาดา
ดีเร็ก ซิสเซอร์ส แห่งสถาบัน American Enterprise ชี้ว่า “ทรัมป์ทำเหมือนว่าสนธิสัญญาที่เขาลงนามนั้นกำลังกลายเป็นหายนะที่ต้องจัดการอย่างรวดเร็ว” ส่วน “ปริมาณเฟนทานิลที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ ผ่านทางแคนาดานั้นเล็กน้อยอย่างยิ่ง” ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นกับสินค้าจากแคนาดาซึ่งไม่ได้เป็น 1 ใน 5 ของประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุดเสียด้วยซ้ำ
ดีเร็ก เชื่อว่าภาษีที่เพิ่มขึ้นนี้ยิ่งไม่ช่วยหยุดการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายเข้ามาในอเมริกา แต่อาจยิ่งทำให้คนที่ต้องตกงานเพราะมาตรการนี้หาทางลักลอบเข้าสหรัฐฯ มากขึ้นอีกด้วย
การตัดสินใจเพิ่มภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ได้สร้างความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศคู่ค้าหลักอย่างจีน มาตรการดังกล่าวไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง ทั้งในแง่ของการชะลอตัวของการค้าระหว่างประเทศ การปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานโลก และการเพิ่มขึ้นของต้นทุนสินค้าที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค
นอกจากนี้นโยบายการกีดกันทางการค้าเช่นนี้ได้กระตุ้นให้เกิดมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า นำไปสู่วงจรของการขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมา ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับระบบการค้าโลกและตลาดการเงิน นักวิเคราะห์หลายรายเตือนว่าหากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปในทิศทางนี้ อาจนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้าครั้งใหม่ที่ส่งผลกระทบรุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
การแก้ไขสถานการณ์นี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศและการเจรจาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อหาจุดสมดุลระหว่างการปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของแต่ละประเทศและการรักษาเสถียรภาพของระบบการค้าโลก โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันในระยะยาวมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เรื่อง : ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://edition.cnn.com/2025/01/31/business/what-how-trump-tariffs-meaning/index.html
https://edition.cnn.com/2025/02/01/politics/mexico-canada-china-tariffs-trump/index.html
https://edition.cnn.com/2024/11/25/politics/trump-tariffs-mexico-canada-china/index.html
https://www.reuters.com/business/energy/trumps-oil-tariffs-boost-european-asian-refiners-2025-02-02/
https://edition.cnn.com/2025/01/31/economy/wilbur-ross-trump-tariffs/index.html
https://edition.cnn.com/2025/01/31/business/what-how-trump-tariffs-meaning/index.html
https://www.reuters.com/world/reaction-trumps-imposition-tariffs-mexico-canada-china-2025-02-01/
