ก่อนหน้านี้เราเคยนำเสนอเรื่องราวที่คณะบริหารของโจ ไบเดน เตรียมตั้งกำแพงภาษีศุลกากรสูงลิบลิ่วเพื่อสกัดสินค้าจากจีนไหลทะลักเข้ามาทำลายตลาดการค้าของอเมริกาแล้ว ถ้าใครที่อยากปูพื้นว่าเรื่องราวก่อนหน้านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร สามารถคลิกเข้าไปอ่านได้ที่บทความ “สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าหวังสกัดรถอีวีจีนทะลักเข้าประเทศ” และรวมไปถึงสิ่งที่ทางการจีนทำเพื่อตอบโต้มาตรการที่พวกเขามองว่าดูจะโหดร้ายเกินไปในบทความ “แรงมา แรงกลับ จีนตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสำคัญ

เอาล่ะถ้าใครที่ได้ติดตามเรื่องราวก่อนหน้านี้มาบ้างจะทราบว่า สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมีมาตรการทางภาษีเพื่อสกัดไม่ให้สินค้าจากจีนเข้ามาทำให้เพดานราคาสินค้าในประเทศต้องเสียหาย โดยเฉพาะในสินค้าสำคัญอย่าง โซลาร์เซลล์ และโลหะต่าง ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรม รวมไปถึงรถอีวีที่จีนโดนสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีใส่ถึง 100% นั่นยิ่งทำให้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังไม่จางหายไป

นำไปสู่การที่ผู้ผลิตและผู้ค้าชาวจีนต้องหาทางปรับตัวก่อนที่ธุรกิจจะถึงคราวสิ้นสุด กลยุทธ์การเลี่ยงภาษี คือสิ่งที่พวกเขาเอามาใช้ ทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกของจีนได้คิดค้นกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรของอเมริกา และรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก ในบทความนี้เราพาทุกคนไปดูว่าแนวทางที่ผู้ค้าชาวจีนใช้เพื่อท้าทายกฎระเบียบด้านการค้าและภาษีระหว่างประเทศของสหรัฐฯ นั้นเป็นอย่างไร

จีนทำอย่างไรให้สินค้าไม่โดนภาษี

1. De-Minimis

De Minimis เป็นหลักเกณฑ์สำหรับการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าของประเทศนั้น ๆ กล่าวคือเมื่อมีการนำเข้าสินค้าจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งจะมี De Minimis เป็นเกณฑ์ในการวัดมูลค่าสินค้า โดยสินค้าที่มีราคาหรือมูลค่าไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้จะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจากประเทศนั้น ๆ ซึ่งโดยปกติแล้วการเก็บภาษีนำเข้าของแต่ละประเทศจะมีไว้เพื่อปกป้องและควบคุมภาคธุรกิจจากสินค้าของประเทศอื่น ไม่ให้กระทบภาคธุรกิจในประเทศของตนเอง

ทีนี้บริษัทจีนมองเห็นว่า จริง ๆ กฎ De Minimis ก็มีใช้อยู่ เราจะสามารถนำเข้าสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ ได้ยังไงให้เสียภาษีน้อยที่สุด หรือไม่ต้องเสียภาษีเลย ซึ่งในกฎหมายศุลกากรของสหรัฐฯ อนุญาตให้พัสดุที่มีมูลค่าน้อยกว่า 800 ดอลลาร์เข้าอเมริกาโดยไม่ต้องเสียภาษี

 

ภาพของพัสดุจำนวนมหาศาลกำลังถูกแบ่งออเดอร์ออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อหลบเลี่ยงภาษี: Forbes

 

The Economist คาดว่า สินค้ามากกว่า 1,400 ล้านชิ้น มูลค่าอย่างน้อย 66,000 ล้านดอลลาร์ จะทะลักเข้าสู่อเมริกาในปี 2024 นี้โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจาก 500 ล้านดอลลาร์ ในปี 2019 (ส่วนต่างมากถึงกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์)

สภาคองเกรสของสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายข้อยกเว้นนี้ในช่วงทศวรรษ 1930 เพื่อลดความยุ่งยากสำหรับนักท่องเที่ยวในการนำของที่ระลึกกลับบ้าน แต่นโยบายในยุคทรัมป์และการเพิ่มขึ้นเป็นดอกเห็ดของอีคอมเมิร์ซทำให้กฎ De Mimimis ถูกจับตามองมากขึ้น

ในปี 2016 สภานิติบัญญัติแห่งสหรัฐฯ ได้มีการปรับปรุงกฎเกณฑ์ในเรื่องมูลค่าสินค้าที่นำเข้าจาก 200 ดอลลาร์เป็น 800 ดอลลาร์ เพื่อประหยัดงบประมาณในการตรวจสอบที่จุกจิก และในปี 2018-2019

ปัจจุบันสินค้า 7 ใน 10 ที่อยู่ในข่าย De Minimis มาจากจีน และส่วนใหญ่เป็นของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดัง Shein และ Temu จากการคำนวณตัวเลขสัดส่วนการนำเข้าผ่านการยกเว้น De minimis ของจีน ชี้ให้เห็นว่าสหรัฐฯ ขาดดุลการค้าให้จีนมากกว่า 13% และเฉพาะกับจีนเฉลี่ยมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลกถึง 5%

ตัวเลขจากหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของอเมริกา (Customs and Border Protection: CBP) ซึ่งเป็นหน่วยงานในบังคับใช้กฎหมายโดยตรง ชี้ให้เห็นว่าสินค้าที่ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายนี้มีมูลค่าสูงถึง 37,000 ล้านดอลลาร์เป็นสินค้าที่อยู่ภายใต้กฎ De Minimis

2. Tijuana* Two-Steps

อีกวิธีหนึ่งที่ผู้ค้าชาวจีนเลือกที่จะใช้เพื่อเลี่ยงภาษี  ซึ่งศุลกากรสหรัฐฯ เรียกว่า “การจัดโครงสร้าง” ด้วยวิธีการนี้ผู้ส่งสินค้าจะทำการ แบ่งคำสั่งซื้อที่มีมูลค่าสูงจากลูกค้ารายเดียวออกเป็นพัสดุหลายชิ้นเพื่อให้เข้าเกณฑ์ที่ไม่ต้องเสียภาษี แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหลายแห่งแนะนำให้ผู้ซื้อแยกคำสั่งซื้อออกเป็นหลาย ๆ คำสั่งซื้อ เมื่อมูลค่าสินค้าในตะกร้าช้อปปิ้งมีมูลค่าเกินเกณฑ์ 800 ดอลลาร์ ซึ่งต้องแยกสินค้าออกเป็นหลาย ๆ คำสั่งโดยต้องมีระยะห่างในการทำธุรกรรมไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง

 

ด่านพรมแดนการขนส่งสินค้า Tijuanna ชายแดนเม็กซิโก-สหรัฐฯ: Freightwave

 

Tijuana two-step เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผู้ค้าชาวจีนเล่นเหลี่ยมนี้ ซึ่งต้องบอกว่าทำได้และไม่ผิดกฎหมาย วิธีการก็คือ ขั้นแรก ตู้คอนเทนเนอร์บรรทุกสินค้าเข้าเทียบท่าที่อเมริกาก่อนที่รถบรรทุกจะขนตู้คอนเทนเนอร์นั้นไปยังชายแดนเม็กซิโกที่เมือง ติฆัวนา ในกระบวนการนี้สินค้าที่ถูกส่งมาจากจีนจะถูกตีความว่าไม่ได้เป็นการส่งตรงมาขายที่สหรัฐฯ แต่เป็นการส่งไปที่เม็กซิโก และเมื่อสินค้าไปถึงยังจุดกระจายสินค้าประเทศเม็กซิโก สินค้าในตู้คอนเทนเนอร์จะถูกแบ่งออกเป็นกล่องเล็กกล่องน้อยและทำให้มูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ และขนส่งกลับไปยังอเมริกาอีกครั้ง ซึ่งก็ไปเข้ากฎ De Minimis ที่ระบุว่าสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ ก็ไม่ต้องเสียภาษี

*Tijuana (ติฆัวนา) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐบาฮากาลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก บนคาบสมุทรบาฆากาลิฟอร์เนีย เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการเงินของประเทศ

 

สหรัฐฯ รู้และเตรียมออกมาตรการตอบโต้

รัฐบาลสหรัฐฯ และหน่วยงานศุลกากรไม่ได้เพิกเฉยต่อวิธีการเลี่ยงภาษีของจีน เพื่อเป็นการตอบสนอง พวกเขาได้ใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับการหลบเลี่ยงภาษี สิ่งที่อเมริกากำลังทำคือการดำเนินการทบทวนช่องโหว่ทางกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อหารูรั่วของกฎหมายและหาทางปิดมัน

วิธีการที่ผู้ค้าชาวจีนใช้แน่นอนว่าสร้างความกังวลให้กับศุลกากรอเมริกามากอยู่ แต่อเมริกาเองก็ได้เริ่มที่จะมีกระบวนการตรวจสอบสินค้าขาเข้าที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้่น อย่างในเดือนพฤษภาคมศุลกากรสหรัฐฯ ได้สั่งระงับการดำเนินธุรกิจของนายหน้าส่งสินค้าหลายรายจากการที่พวกเขาออกโปรโมชั่นเพื่อเพิ่มความเร็วในการจัดส่งสินค้า ซึ่งแน่นอนว่าทำให้การทำงานของศุลกากรสหรัฐฯ ยิ่งทวีความยากมากขึ้นไปอีก

ในขณะที่ผู้ส่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามายังสหรัฐฯ ก็ต้องมีการสำแดงสิ่งของก่อนที่พัสดุจะถึงชายฝั่งอเมริกา และในอนาคตผู้ขายสินค้าอาจต้องระบุที่อยู่หน้าเว็บ (URL) ของสินค้าเพื่อให้ศุลกากรสหรัฐฯ สามารถตรวจสอบราคาของสินค้าที่ต้องสงสัยได้

 

Shein หนึ่งในอีคอมเมิร์ซชื่อดังด้านแฟชั่นเป็นคู่กรณีของศุลกากรสหรัฐฯ: Glossy

 

นอกจากนี้ สภาคองเกรสเองก็กำลังดำเนินการร่างกฎหมายอีกฉบับจะให้สหรัฐฯ ปรับลดเกณฑ์ปลอดภาษีนำเข้า (De minimis thresholds) ให้เท่ากันกับคู่ค้า (ตัวอย่างเช่น ถ้าจีนกำหนดมูลค่าขั้นต่ำของสินค้าที่ไม่ต้องเสียภาษีไว้ที่ 50 หยวน (7 ดอลลาร์)  สหรัฐฯ ก็จะกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของสินค้าที่ไม่ต้องเสียภาษีไว้ที่เท่ากับ 7 ดอลลาร์เช่นกัน) การทำแบบนี้ก็แฟร์ ๆ ซึ่งถ้าถามว่าคนขายสามารถบอกคนซื้อให้แยกคำสั่งซื้อได้ไหม ก็ต้องบอกว่า ได้ แต่ผู้ซื้ออาจไม่ยอมทำตามเพราะต้องเสียเวลายุ่งยากในการแยกออเดอร์เป็นออเดอร์เล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเป็นทั้งการเสียเวลาและอาจจะโดนค่าขนส่งที่ไม่คุ้ม

ทั้งการเอารายการสินค้าออกจาก De Minimis และการจับคู่รายการสินค้าปลอดภาษีกับประเทศต้นทางไม่มีตัวเลือกใดที่น่าสนใจเป็นพิเศษ การยกเลิกมาตรการ De Minimis จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้บริโภคที่ไม่ได้มีกำลังซื้อมาก เพราะแน่นอนว่ายิ่งสินค้าโดนภาษีสูง ผู้ค้าย่อมผลักภาระการเสียภาษีมาให้ผู้ซื้ออย่างแน่นอน

ถ้าไม่นับสินค้าที่ขึ้น Blacklist ล่าสุดสด ๆ ร้อน ๆ อย่างรถ EV หรือสินค้าด้านพลังงานทางเลือกที่ตอนนี้อเมริกาก็ยังเอาอยู่ กับการที่ไม่ให้รถจีนทะลักเข้ามาในประเทศ ก็ต้องบอกว่าอเมริกาเลือกยากมากที่จะดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาดกับสินค้าเบ็ดเตล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากจีน (แต่มูลค่ารวมการนำเข้าสูงมาก) เพราะจะยกเลิกไปก็กระทบกับผู้บริโภค แต่ถ้าทรัมป์ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัยก็ไม่แน่ เพราะทรัมป์หาได้แคร์ผู้บริโภคอเมริกันรายเล็กรายน้อยไม่ แต่เขามุ่งกีดกันไม่ให้สินค้าจีนเข้ามาทำลายระบบนิเวศทางการค้าของอเมริกาบ้านเกิดอย่างแน่นอน

 

ถ้าชายคนนี้ได้กลับมาอีกครั้ง จีนจะเป็นประเทศแรก ๆ ที่เขาประกาศสงคราม (การค้า) ด้วยอย่างแน่นอน: The Independent

 

จีนเป็นประเทศที่เก่งกาจเรื่องของการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่บีบคั้นและยากลำบาก ถึงแม้พวกเขาจะถูกบีบให้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายแต่พวกเขาก็ยังยืนยันที่จะทำ เพราะมิเช่นนั้นธุรกิจของพวกเขาอาจถึงกาลอวสาน และสำหรับคนกำหนดนโยบายอย่างสหรัฐฯ ความยากและความท้าทายก็คือการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการที่จะปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และจัดการกับความไม่สมดุลทางการค้ากับความจำเป็นในการรักษาตลาดระดับโลกที่มีการแข่งขันสูง นโยบายที่เข้มงวดมากเกินไปอาจกระตุ้นให้เกิดกลยุทธ์การเลี่ยงภาษี ขณะเดียวกันก็ยังเสี่ยงต่อมาตรการตอบโต้จากคู่ค้าด้วย เพราะอย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่อเมริกาจะผลิตได้ สินค้าหลายอย่างอเมริกาเองก็ยังต้องพึ่งพาจีนอยู่มาก

ในส่วนของภาคธุรกิจจีน ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศของตัวเองกับสหรัฐฯ ซึ่งก่อให้เกิดแนวโน้มการกระจายของห่วงโซ่อุปทานและการมองหาซัปพลายเออร์หน้าใหม่ในตลาดที่จีนไม่ได้ผูกขาดอีกต่อไป ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่บริษัทจีนต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

อ้างอิง

https://www.economist.com/finance-and-economics/2024/06/27/how-chinese-goods-dodge-american-tariffs

https://harris-sliwoski.com/chinalawblog/transshipment-no-magic-remedy-against-tariffs/

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer