อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตรถยนต์จีน ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาลจีน ทั้งในด้านการลงทุนวิจัยและพัฒนา การจัดสรรเงินทุน และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้บริษัทรถยนต์จีนสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งจากสหรัฐฯ และยุโรป
นอกจากนี้ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนก็มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์จีนสามารถประหยัดจากการผลิตจำนวนมาก (Economies of Scale) ได้ดีกว่า ประกอบกับนโยบายสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลจีน ทำให้ความต้องการในประเทศจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเป็นเช่นนี้สหรัฐฯ จึงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เตรียมประกาศขึ้นภาษีศุลกากรในส่วนของการนำเข้าสินค้าหลายประเภทที่มาจากจีน ครอบคลุมกลุ่มสินค้าพลังงานทดแทน อย่างแบตเตอรี่รถยนต์อีวี โซลาร์เซลล์ และรถยนต์อีวี เพื่อสกัดไม่ให้จีนเข้ามาทำการทุ่มตลาดจนตลาดสหรัฐฯ พัง ในบทความนี้เราจะพาผู้อ่านไปดูที่มาที่ไปของการขึ้นภาษีในครั้งนี้ว่ามาจากเหตุผลอะไร และจะส่งผลอย่างไรต่ออนาคตของตลาดรถอีวีสหรัฐฯ
เมื่อผลิตออกมาเยอะก็ต้องระบายออก รถ EV จีนเล็งเจาะตลาดสหรัฐฯ
อุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย 30 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดของจีนเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แถมแบตเตอรี่ที่อยู่ EV ทั่วโลกส่วนใหญ่ผลิตในจีน และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศหลายรุ่นได้รับการยกย่องในด้านดีไซน์ ฟังก์ชันการใช้งาน และราคา
แต่ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ กังวลมานานแล้วว่าการไหลเข้ามาทำตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอาจทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ต้องตกที่นั่งลำบาก เมื่อช่วงต้นปี 2024 ที่ผ่านมา Elon Musk ซีอีโอ Tesla ได้ไปเยี่ยมโรงงานผลิต Tesla ในจีน ได้ออกมาเตือนว่าผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในจีนสามารถ “ทำลาย” คู่แข่งที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์เหมือนกันได้ง่าย ๆ โดยไม่มีอุปสรรคทางการค้าอะไรมาเป็นตัวกีดกันเลย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ Musk ค่อนข้างกังวลมาก ก็คือรถยนต์ไฟฟ้าของจีนมีราคาถูกมาก อย่างรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Seagull ของ BYD ขายกันในราคาแค่ 10,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 350,000 บาทเท่านั้น) ซึ่งเทียบกับ Tesla Model 3 ตัวเริ่มต้นก็ราคาปาเข้าไป 40,380 (1.4 ล้านบาท) แล้ว ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ไม่สามารถแข่งขันได้แน่ ๆ ทำให้บรรดานักการเมืองของสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการสั่งห้ามไม่ให้รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนเข้ามาขายในสหรัฐฯ โดยเด็ดขาด
Elon Musk ซีอีโอของ Tesla พบปะกับนายกรัฐมนตรี Li Qiang ของจีนที่กรุงปักกิ่ง: NBC News
ความกลัวว่ารถยนต์ไฟฟ้าของจีนจะเข้ามาทำลายตลาดรถยนต์ (ไฟฟ้า) ของสหรัฐฯ ทำให้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสหรัฐฯ ออกนโยบายทั้งอุดหนุนผู้ซื้อรถในประเทศ ช่วยเหลือให้ความสะดวกผู้ผลิต และกีดกันไม่ให้รถไฟฟ้าจากจีนเข้ามาทำลายระบบนิเวศทางการค้าของสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น ให้เครดิตด้านภาษี EV มูลค่า 7,500 ดอลลาร์ จัดให้มีโครงสร้างเพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตรถยนต์จัดหาแบตเตอรี่ของตนจากภายในสหรัฐอเมริกาหรือคู่ค้าได้ในราคาถูก
ส่วนถ้าเป็นบริษัทผู้ผลิตรถสัญชาติจีน (ทั้งรถยนต์ แบตเตอรี่ และส่วนประกอบอื่น ๆ) ไม่มีสิทธิ์ได้รับเครดิตภาษี และเมื่อต้นปีนี้ฝ่ายบริหารได้เปิดการสอบสวนความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีรถยนต์อัจฉริยะที่ผลิตในจีน เรียกได้ว่าคุมกำเนิดรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนทุกช่องทาง
ถ้าถาม Elon Musk ว่าคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ Tesla คือใคร คำตอบอาจจะเป็น BYD ทำไมต้องกลัว BYD ก็เพราะว่า BYD เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เริ่มต้นธุรกิจมาจากการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่มาตั้งแต่ปี 1995 ดังนั้นเรื่องแบตเตอรี่พวกเขามีความเชี่ยวชาญ ซึ่งความสามารถของ BYD ในด้านแบตเตอรี่ คือพวกเขาสามารถทำให้แบตฯ ถูก และ ดีได้ เนื่องจากจุดที่ผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับการจะซื้อรถอีวีสักคันนอกเหนือจากเรื่องคุณภาพของรถแล้ว เรื่องแบตฯ อึดไม่อึดนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญ
และ BYD เองในปัจจุบันสามารถควบคุมห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของรถ EV ตั้งแต่ส่วนประกอบพื้นฐาน อย่าง แบตเตอรี่ โครงสร้างตัวถัง ส่วนประกอบของรถ เทคโนโลยีที่ใช้กับรถ ไปจนถึงเรือที่ขนส่งยานพาหนะไปต่างประเทศพวกเขาก็มีเป็นของตัวเอง แล้วรถพวกเขาจะไม่ราคาถูกได้อย่างไร
แถมในเรื่องยอดขาย ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 BYD ก็โตแซงหน้า Tesla กลายเป็นผู้ผลิต EV ที่มียอดขายมากที่สุดของโลก
ความน่ากลัวของ BYD ไม่เพียงมาจากความสามารถของพวกเขาเอง แต่ส่วนหนึ่งที่สำคัญก็มาจากการได้รับความช่วยเหลือจากการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากรัฐบาลจีนมานานนับทศวรรษ รูปแบบของเงินอุดหนุนบ้าง การลดหย่อนภาษีบ้าง แถมไปปั๊มแรงจูงใจให้ผู้บริโภคอยากทิ้งรถน้ำมันมาใช้รถไฟฟ้าด้วย
ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่บรรดาผู้นำในพรรคคอมมิวนิสต์จีนมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ใหญ่กว่าแค่สนับสนุนผู้ผลิต คือการที่ต้องทำให้ผู้บริโภคอยากซื้อมาใช้ด้วย
รัฐบาลจีนช่วยเหลืออุตสาหกรรมอีวีอย่างไรจนทำให้สหรัฐฯ กลัว
บริษัทที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีนมากที่สุดในปี 2023: Nikkei Asia
ข้อมูลจากภาพชาร์ตด้านบนแสดงให้เห็นว่ามี “ใคร” บ้างในอุตสาหกรรมรถอีวี ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจีน CATL ติดอันดับสูงสุด โดยได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีนกว่า 2.85 พันล้านหยวน (391 ล้านดอลลาร์) ตลอดระยะเวลา 6 เดือน เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปีก่อน (2022) ตามมาด้วย SAIC Motor (ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีรัฐบาลจีนร่วมเป็นเจ้าของ) ผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ดัง MG และอันดับ 3 กับ BYD ผู้ผลิตรถยนต์อีวีที่มีอนาคตสดใสและกำลังเติบโตสุดขีดในเวลานี้
ในบรรดาผู้ประกอบรถยนต์ไฟฟ้า บริษัท SAIC Motor ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีนมากทึ่สุด มากกว่า 2 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปีที่แล้ว ผู้ผลิตรถยนต์ของรัฐรายนี้กำลังพยายามที่จะเปลี่ยนจากการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน โดยพึ่งพาการร่วมทุนสองแห่งกับ Volkswagen และ General Motors เพื่อส่งเสริมแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าของตนเอง
ส่วน BYD ผู้นำด้านการขายรถยนต์ไฟฟ้าของจีน และเตรียมแซงหน้าโฟล์กสวาเกนในปีนี้ในฐานะแบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดของประเทศจีน ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีนกว่า 1.78 พันล้านหยวนในครึ่งปีแรก หรือเกือบ 3 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
นอกจากการอุดหนุนที่ต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทานแล้ว รัฐบาลจีนยังมุ่งไปที่การเพิ่มระดับความต้องการให้กับส่วนของอุปสงค์ด้วย ผ่านกระบวนการเหล่านี้
การลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ แม้ว่าเงินอุดหนุนของรัฐบาลจีนจะมุ่งเน้นไปที่การผลิตรถอีวี แต่เหตุผลเบื้องหลังที่แท้จริงทางอ้อมรัฐบาลจีนมองว่าเมื่อต้นทุนการผลิตต่ำ ราคาขายก็จะถูกลงตามไปด้วย เมื่อราคาขายต่ำต้นทุนการเป็นเจ้าของรถอีวีสำหรับผู้บริโภครายย่อยก็จะลดลงการเข้าถึงก็จะง่ายขึ้น แม้ว่าเงินอุดหนุนจะมีความสำคัญในระยะสั้น แต่เป้าหมายระยะยาวคือการลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้มากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งเงินอุดหนุนมากนัก
การขยายโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ นอกเหนือจากเงินอุดหนุนแล้ว รัฐบาลยังวางแผนที่จะเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จในเมืองต่าง ๆ เช่น ปักกิ่ง เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคไม่ต้องกังวลว่าถ้าแบตฯ หมดจะไปชาร์ตที่ไหน ซึ่งถือได้ว่ารัฐบาลจีนมีความเฉียบแหลมอย่างมากที่เน้นการพัฒนาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจใช้ยานพาหนะไฟฟ้าอย่างแพร่หลายในประเทศจีน
ไบเดนเตรียมขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีนหวังสกัดก่อนรถจีนจะทำตลาดสหรัฐฯ พัง
เพื่อสกัดกั้นไม่ให้รถอีวีจากจีนเข้ามาทำลายสมดุลตลาดการแข่งขันเสรีของสหรัฐฯ ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังวางแผนที่จะกำหนดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีน ซึ่งภาษีนำเข้ารถยนต์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนสกัดกั้นการทุ่มตลาดการค้าของจีน ซึ่งนอกเหนือจากรถยนต์ก็ยังมี เหล็กและอะลูมิเนียม และรายการสินค้าอื่น ๆ อาทิ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์
ภาษีศุลกากรเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์จัดการกับความกังวลเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติทางการค้าของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับกำลังการผลิตล้น (oversupply) และการอุดหนุนจากรัฐบาลจีนที่มากเกินไป
การตัดสินใจขึ้นภาษีศุลกากรในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการทบทวนอัตราภาษีมาตรา 301 ที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เก็บภาษีศุลกากรขาเข้าในส่วนของรถยนต์อยู่ที่ 25% โดยมีเป้าหมายที่จะจัดเก็บสูงถึง 100% (ข้อมูลจาก Wallstreet Journal) พร้อมทั้งเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 2.5 เปอร์เซ็นต์
อัตราภาษีปัจจุบันก็ยังมีประสิทธิภาพดีอยู่ในการป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าไปยังสหรัฐอเมริกา แต่ก็มีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยังคงรู้สึกกังวลเกี่ยวกับความตั้งใจของรัฐบาลจีนที่จะอุดหนุนภาคการผลิตรถยนต์ จนส่งให้จีนเป็นผู้ส่งออกรถยนต์อันดับหนึ่งทั่วโลก แม้ว่าในปัจจุบันรถยนต์จีนก็แทบไม่สามารถตีตลาดในสหรัฐฯ ได้เลยก็ตาม (เนื่องจากกำแพงภาษีที่สูงมากทำให้ผู้บริโภคยังไม่คิดจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน)
ถ้าถามว่าเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของประธานาธิบดีไบเดนในการขึ้นภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้ารถอีวีจากจีน สามารถจับสัญญาณความหวาดระแวงของสหรัฐฯ ได้ดังนี้
ความกังวลเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติทางการค้าของจีน สหรัฐฯ อ่านเกมการค้าที่จีนกำลังเล่นออก เนื่องจากจุดเริ่มต้นมาจากรัฐบาลจีนอุดหนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเช่น รถยนต์อีวี ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตรถในจีนสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้มาก พอผลิตได้มากราคาก็ถูก เมื่อราคาถูกจะขายแค่ในประเทศในบางครั้งดีมานด์ของผู้ใช้ในประเทศยังไม่เติบโตเต็มที่ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ดังนั้นซัปพลายส่วนเกินจึงไหลทะลักออกไปยังประเทศอื่น ๆ รวมถึงสหรัฐฯ ด้วย
เพราะกังวลเกี่ยวกับการอุดหนุนจากรัฐที่มากเกินไปของจีน และการกล่าวหาว่าสินค้าส่งออกราคาถูก ซึ่งคุกคามการจ้างงานในตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปไบเดนอ้างถึงความจำเป็นในการยืนหยัดต่อ “แนวทางปฏิบัติทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมและกำลังการผลิตส่วนเกินทางอุตสาหกรรม” ของจีน
การกำหนดเป้าหมายอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ: ภาษีใหม่จะมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่จีนมีอำนาจเหนือกว่าสหรัฐฯ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และเซลล์แสงอาทิตย์ มีความกลัวในวอชิงตันว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจท่วมตลาดสหรัฐฯ และกระทบต่ออัตราการว่างงานของชาวอเมริกัน หากสินค้าเหล่านี้ทะลักเข้ามาในสหรัฐฯ จริง ผลกระทบจะเกิดเป็นลูกโซ่เลย เริ่มจากประชาชนไม่อยากซื้อของแพง (ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าของที่ผลิตโดยบริษัทในสหรัฐฯ จะแพงกว่าของจีน) ทำให้บริษัทผู้ผลิตในสหรัฐฯ ไม่สามารถทำธุรกิจให้มีกำไรได้ และแย่ที่สุดอาจถึงขั้นปิดตัวลง ส่งผลให้แรงงานในภาคส่วนนี้ต้องตกงานและกลายเป็นภาระให้กับรัฐบาลต่อไป นี่จึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
การรักษาแรงกดดันต่อจีนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนจะดีขึ้นในยุคสมัยของไบเดน แต่การจะเห็นจีนขึ้นมายืนเบอร์ 1 โลกทั้งในด้านขนาดของเศรษฐกิจและอำนาจในการควบคุมดีมานด์และซัปพลายของโลก คิดว่าเป็นการยากมากที่สหรัฐฯ จะยอม ทำให้ยังไงเสียสหรัฐฯ ก็น่าจะยังคงรักษาแรงกดดันไม่ให้จีนผงาดขึ้นมาแซงหน้าสหรัฐฯ ได้ง่าย ๆ ด้านความเคลื่อนไหวล่าสุด รัฐบาลสหรัฐฯ เห็นชอบให้มีการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของจีนแล้ว (รายละเอียดแถลงการณ์ของทำเนียบขาวเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีน)
การทบทวนภาษีมาตรา 301 นี่เป็นการตัดสินใจถืออาจจะถือเป็นผลงานชิ้นเอกของโจ ไบเดน เลยก็ว่าได้ ด้วยการหยิบเอาสิ่งที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำไว้นั่นก็คือ การทบทวนอัตราภาษีที่อยู่ในมาตรา 301 ที่ทรัมป์เรียกเก็บครั้งแรกในปี 2018 ซึ่งถือเป็นอาวุธที่สหรัฐฯ เอาไว้ใช้กับคู่ค้าที่เริ่มจะเข้ามารุกรานการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ “จีน” ♦
เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://www.theverge.com/2024/5/10/24153830/biden-china-ev-tariff-quadruple-trade
–
