ไมโล กับ โอวัลติน ทำความรู้จัก 2 คู่แข่งยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มมอลต์ยอดนิยม
แม้ว่าไมโล (Milo) และโอวัลติน (Ovaltine) จะเป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มชนิดผงรสช็อกโกแลตที่มีความคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วทั้งสองแบรนด์ก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่
โดยโอวัลตินเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์แต่งกลิ่นนมที่ทำจากมอลต์สกัด น้ำตาล และเวย์ ขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติมอลต์เข้มข้น และมักวางตลาดว่าเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุ ในทางกลับกัน ไมโลเป็นผงช็อกโกแลตและมอลต์ที่ผสมกับนม เป็นที่รู้จักในด้านรสชาติที่โดดเด่นและมักวางตลาดเป็นเครื่องดื่มให้พลังงาน เนื่องจากมีวิตามินและแร่ธาตุเพิ่มเติม
ในด้านรสชาติ โอวัลตินจะขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติมอลต์ที่มีความเข้นข้มมากกว่าไมโล ในขณะที่ไมโลจะมีรสช็อกโกแลตเข้มข้นกว่า นอกจากนี้ ไมโลยังวางแบรนด์ให้เกี่ยวข้องกับกีฬาและวางตลาดเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง ส่วนโอวัลตินมักจะวางตลาดเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับทุกวัย
ทั้งสองแบรนด์เป็นผู้เล่นหลักในตลาดนมมอลต์ โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดทั่วโลกจะเติบโตมากขึ้นระหว่างปี 2023-2030 ในปี 2022 มูลค่าของตลาดนมมอลต์ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 5,172.7 ล้านดอลลาร์ โดยเติบโตที่ CAGR 3.1% ในช่วงปี 2022-2028
ต้นกำเนิดของไมโล-โอวัลติน สองเครื่องดื่มแสนอร่อยที่ผู้คนคุ้นเคยมาตั้งแต่เล็ก
อย่างที่เป็นที่รู้กันว่าไมโลกำเนิดขึ้นในออสเตรเลียเมื่อปี 1934 โดย Thomas Mayne (ทอมัส เมย์น) นักเคมีชาวออสซี ผู้พัฒนาสูตรเครื่องดื่มระหว่างที่เขาทำงาน ด้วยความมุ่งหวังที่จะผลิตเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางสารอาหารให้กับเด็ก ๆ เนื่องจากในยุคนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย ประชาชนต้องเผชิญสภาวะข้าวยากหมากแพง ทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร
และนับตั้งแต่วันแรกที่ไมโลถูกคิดค้นขึ้น ไมโลก็ถูกกำหนดให้เป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าโภชนาการและให้พลังงานแก่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยรสชาติที่อร่อยกลมกล่อมถูกปากทุกคน ไมโลจึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
โดยชื่อของไมโลนั้นมาจากชื่อของนักกีฬาชาวกรีก คือ ไมโลแห่งโครตอน ซึ่งเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการแข่งขันกีฬาที่สำคัญ ๆ ของกรีก ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ไมโลมักสื่อถึงกิจกรรมกีฬาต่าง ๆ เช่น แบดมินตันหรือฟุตบอล
สำหรับต้นกำเนิดของโอวัลตินอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี 1865 โดย Georg Wander (จอร์จ วอนเดอร์) นักเคมีชาวสวิส ผู้คิดค้นเครื่องดื่มร้อนที่มีส่วนผสมของมอลต์สกัดจากข้าวบาร์เลย์และไข่ไก่ เพื่อให้เด็กที่ขาดสารอาหารได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ซึ่งปรากฏว่าผลเป็นที่น่าพอใจ
ต่อมาในปี 1904 เครื่องดื่มชนิดนี้ได้ถูกพัฒนาต่อโดย Albert Wander (อัลเบิร์ต วอนเดอร์) ลูกชายของเขา จนเครื่องดื่มชนิดนี้ได้กลายมาเป็นโอวัลติน (หรือที่รู้จักกันในชื่อเดิมว่า Ovomaltine) แบบที่เรารู้จักในเวลาต่อมา
ไมโล แบรนด์เครื่องดื่มที่สนับสนุนกีฬา
ด้วยรสชาติที่โดดเด่นและบรรจุภัณฑ์สีเขียวที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้นอกจากประเทศออสเตรเลีย แหล่งกำเนิดของไมโลแล้ว ไมโลยังได้รับความนิยมในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทวีปยุโรปหรือเอเชียก็ตาม โดยเฉพาะในมาเลเซียที่ไมโลมีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 90% และกล่าวกันว่าชาวมาเลเซียเป็นผู้บริโภคไมโลรายใหญ่ที่สุดของโลก
ไมโลยังได้สนับสนุนโครงการด้านต่าง ๆ อย่างในโครงการ MILO in2CRICKET และ MILO T20 Blast ของประเทศออสเตรเลียที่ให้เด็ก ๆ รู้จักวิธีเล่นเกมคริกเกต หรือในสิงคโปร์ ที่ไมโลจะเตรียมรถบรรทุกหรือรถตู้เฉพาะทาง เพื่อเสิร์ฟเครื่องดื่มไมโลมากถึงสามพันแก้วในงานกีฬาและงานชุมชน
นอกจากนี้ ไมโลยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อคุณค่าโภชนาการที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน และไม่ใช่แค่คุณประโยชน์ แต่ยังมีการวิจัยความต้องการด้านรสชาติของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ รวมถึงการศึกษาแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดอีกด้วย
ปัจจุบันไมโลมีจำหน่ายในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก และเชื่อหรือไม่ว่าในแต่ละวัน มีผู้บริโภคทั่วโลกดื่มไมโลโดยเฉลี่ยวันละ 31 ล้านแก้ว หรือเท่ากับ 307 แก้วต่อวินาที ซึ่งปริมาณของไมโลที่ผลิตทั่วโลกในแต่ละปีนั้น มีน้ำหนักเท่ากับหอคอยไอเฟล 20 หอรวมกันเลยทีเดียว
โอวัลติน เครื่องดื่มที่ครองใจผู้คนทั่วโลก
แต่เดิมโอวัลตินจะประกอบไปด้วยมอลต์ นม ไข่ และนำไปปรุงแต่งด้วยโกโก้ ในเวลาต่อมาได้มีการเปลี่ยนสูตรหลายต่อหลายครั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก เช่น โอวัลตินรส Malt Ovaltine (เวอร์ชันที่ไม่มีโกโก้) หรือจะเป็นโอวัลตินรส Rich Chocolate Ovaltine (เวอร์ชันที่ไม่มีมอลต์) ก็ได้รับความนิยมในตลาดเช่นกัน
โอวัลตินยังได้รับความนิยมในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก และได้รับความชื่นชอบเป็นอย่างมากในอังกฤษและสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งในแต่ละประเทศจะมีการผสมผสานรสชาติที่แตกต่างกันออกไป อย่างในบราซิลที่มักจะเสิร์ฟโอวัลตินผสมกับไอศกรีมวานิลลาและเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ หรือในออสเตรเลียที่โอวัลตินอัดเม็ดกลมได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
นอกจากนี้ โอวัลตินยังได้สนับสนุนในซีรีส์วิทยุสำหรับเด็กของสหรัฐอเมริกาอย่าง Little Orphan Annie (1931–2040) หรือ Captain Midnight (1938–1949) และซีรีส์โทรทัศน์ Captain Midnight ที่ตามมา (1954–2056) เพื่อมอบโปรโมชันพิเศษให้กับผู้ฟัง
ความเป็นที่นิยมของโอวัลตินยังมาแรงจนเป็นที่พูดถึงในภาพยนตร์เรื่อง Young Frankenstein โดยมีการกล่าวถึงโอวัลตินเมื่อ Frau Blücher ซึ่งรับบทโดยนักแสดงหญิง Cloris Leachman ถาม Dr. Frederick Frankenstein ซึ่งรับบทโดยนักแสดง Gene Wilder ว่าเขาต้องการโอวัลตินบ้างไหม หลังจากที่เขาปฏิเสธบรั่นดีก่อนเข้านอน
ปัจจุบันโอวัลตินเป็นหนึ่งใน 20 แบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสวิตเซอร์แลนด์ และมีผลิตภัณฑ์จำหน่ายในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
ไมโล vs โอวัลติน สองยักษ์ใหญ่แบรนด์เครื่องดื่มมอลต์ที่น่าจับตามอง
ไมโล เป็นแบรนด์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Nestle โดยในปี 2023 ยอดขายทั้งหมดอยู่ที่ 93 พันล้านฟรังก์สวิส ลดลง 1.5% จากปีที่แล้ว (94.4 พันล้านฟรังก์สวิส) ในขณะที่โอวัลตินเป็นแบรนด์ที่อยู่ภายใต้การบริหารของ Associated British Foods โดยในปี 2023 มีรายได้ทั้งหมด 19.8 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจากปีแล้วมา 2.8 พันล้านปอนด์
แม้ว่าไมโลและโอวัลตินจะเป็นแบรนด์เครื่องดื่มมอลต์ที่คล้ายกัน แต่การทำการตลาดของทั้งสองแบรนด์นั้นมีความแตกต่างกัน โดยไมโลจะเน้นทำการตลาดในกลุ่มเด็ก ๆ วัยรุ่น และคนหนุ่มสาวอย่างแคมเปญ “Mix It Up” ของ Milo Australia
และไม่ใช่แค่กลุ่มเป้าหมายวัยเด็กเท่านั้น แต่ไมโลยังขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้นอีกด้วย อย่างในประเทศไทยที่ไมโลดึงชาอึนอูมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อทำการตลาดเชิงรุกอย่างเต็มที่ด้วยงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท พร้อมทั้งปรับภาพลักษณ์แบรนด์ที่ขยายฐานไปยังกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัยได้มากขึ้น
นอกจากนี้ โฆษณาส่วนใหญ่ของไมโลจะเน้นการพูดถึงการเล่นกีฬาเป็นหลัก อย่างซีรีส์โฆษณา “Teamwork Makes Us” ของประเทศไทยที่หยิบยกโมเมนต์ต่างๆ ของกีฬาทั้ง 3 ประเภทได้แก่ บาส บอล และวอลเลย์บอลมาสร้างสรรค์เป็นเรื่องราว
ในขณะที่โอวัลตินจะเน้นภาพลักษณ์แบบครอบครัว และการจับมือ collaborator ร่วมมือกับแบรนด์อื่น ๆ อย่างการจับมือร่วมกันระหว่างแบรนด์ทิวลี่ x โอวัลติน (Tivoli x Ovaltine) ในประเทศไทย เพื่อสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการให้กับผู้บริโภคทั้งกลุ่มเด็ก วัยรุ่น และคนรุ่นใหม่
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีรายงานว่าผู้บริโภคชาวไทยชื่นชอบผลิตภัณฑ์โอวัลตินพร้อมดื่ม (RTD) มามากกว่า 80 ปี ทำให้ในปีที่แล้วผลิตภัณฑ์นี้เติบโตขึ้น 17.1% ซึ่งความนิยมที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่เพียงเกิดจากการโฆษณาเท่านั้น แต่ยังเกิดมาจากความต้องการของผู้บริโภคที่ชอบความสะดวกสบายเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาโอวัลตินพร้อมดื่มมีการบริโภคอยู่ที่ 243 ล้านกล่อง เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากปีก่อนนั่นเอง
เรื่อง: ภริดา มุทิตาภรณ์
ที่มา:
https://en.wikipedia.org/wiki/Milo_(drink)
https://en.wikipedia.org/wiki/Ovaltine
อhttps://advertisingvietnam.com/the-biggest-drama-in-a-decade-what-do-we-learn-milo-vs-ovaltine-p15894
Click to access abf-annual-report-2023.pdf.downloadasset.pdf
https://www.nestle.com/media/pressreleases/allpressreleases/full-year-results-2023
https://www.campaignasia.com/video/nestles-latest-campaign-couldve-gone-the-extra-milo/485015
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /






