นับตั้งแต่การแข่งขัน ฟอร์มูล่าวัน (F1) กรังด์ปรีซ์ครั้งแรกในปี 1950 กีฬามอเตอร์สปอร์ตอันโด่งดังนี้ได้เดินทางไปเยือนสนามแข่งกว่า 70 แห่งทั่วโลก โดยปกติแล้ว การแข่งขัน F1 ส่วนใหญ่จะจัดขึ้นในสนามที่สร้างขึ้นเพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ อย่างเช่น สนามซิลเวอร์สโตนในสหราชอาณาจักร ซึ่งเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม จากสนามทั้งหมดที่เคยใช้ มี 29 แห่งที่จัดการแข่งขันบนท้องถนนในเมืองนั้นๆ อย่างเช่น โมนาโก กรังด์ปรีซ์ โดยการแข่งขันรูปแบบนี้สร้างความตื่นเต้นและดึงดูดความสนใจจากแฟนๆ และผู้คนทั่วไปได้มาก ด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่เร้าใจ ความตื่นเต้นของเกมการแข่งขัน และการรวมตัวของผู้ชมระดับดาราดัง

พอในฤดูกาล 2023 การแข่งขัน 7 จาก 23 รายการจัดขึ้นบน สนามแข่งในเมือง (Street Race) และตั้งแต่ปี 2024 เพิ่มอีกเป็น 8 รายการ

ความนิยมของ F1 ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสารคดี “Drive to Survive” ของ Netflix และการโพสต์บนโซเชียลมีเดียของเหล่านักขับ ทำให้ตั้งแต่ปี 2019 ถึง 2022 จำนวนผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น 36% เป็น 5.7 ล้านคน

ขณะที่รายได้จากการแข่งขันและช่องทางที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น 20% จาก 2,136 ล้านดอลลาร์ (ราว 78,400 ล้านบาท) ในปี 2021 เป็น 2,573 ล้านดอลลาร์ (ราว 83,800 ล้านบาท)

นี่ทำให้ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา การจัดการแข่งขันแบบ Street Race ได้รับความสนใจมากขึ้นเพราะแฟนๆ กีฬามอเตอร์สปอร์ตข้าถึงได้ง่ายขึ้น จึงมีการคาดการณ์ว่าจะมีการแข่งขันรูปแบบนี้จะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

อย่างไรก็ตาม การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน F1 ต้องใช้งบประมาณมหาศาล โดยส่วนที่ต้องใช้งบมากเป็นอันดับต้นๆ และกำลังถูกจับตามองคือการแข่งแบบ Street Race นั่นเอง โดยรัฐบาลของประเทศต่างๆ ต้องใช้งบสูงถึง 17-40 ล้านดอลลาร์ (ราว 625-1,470 ล้านบาท) ในแต่ละปี เพื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันและบำรุงรักษาถนน

นอกจากนี้ สัญญาการเป็นเจ้าภาพส่วนใหญ่กินเวลา 7-10 ปี ทำให้เมื่อสิ้นสุดสัญญา เมืองและรัฐบาลของประเทศที่เป็นเจ้าภาพอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ (ราว 22,000 ล้านบาท) เลยทีเดียว

สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลให้บางเมืองประสบปัญหาขาดทุนจากการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น โคเรียนกรังด์ปรีซ์ ในเกาหลีใต้ ที่จัดขึ้นระหว่างปี 2010-2013 ซึ่งถูกยกเลิกไปก่อนกำหนดเนื่องจากงบประมาณและค่าธรรมเนียมสูง ประกอบกับปัญหาการเมืองภายในประเทศ

การแข่งขัน ลาสเวกัสกรังด์ปรีซ์ ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ โดยในปี 2023 ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งแรกที่จัดขึ้นบน ลาสเวกัสสตริป ของสหรัฐฯ อันโด่งดัง ถือเป็นการแข่งขันที่แพงที่สุดในฤดูกาลนั้น ด้วยค่าใช้จ่ายประมาณ 420 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 15,400 ล้านบาท) ส่งผลให้ค่าตั๋วราคาถูกสุดพุ่งสูงถึง 2,000 ดอลลาร์ (ราว 73,500 บาท) ทำให้ตั๋วไม่ขายออกและต้องลดราคาลงถึง 60% นอกจากนี้ พนักงานบนลาสเวกัสสตริปยังบ่นเกี่ยวกับการก่อสร้างที่สร้างความวุ่นวายอีกด้วย

ทว่าตรงกันข้ามกับการแข่งขัน ออสเตรเลียนกรังด์ปรีซ์ ในเมลเบิร์น ของออสเตรเลีย โดยแม้ขาดทุนไป 23 ล้านดอลลาร์ (ราว 845 ล้านบาท) แต่ก็ยังจัดต่อไปเพราะเชื่อว่าจะคุ้มค่า ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดหวัง โดยในปี 2023 เมืองเมลเบิร์นมีรายได้จากการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับ F1 มากถึง 140 ล้านดอลลาร์ (ราว 5,140 ล้านบาท)


ความสำเร็จอย่างในเมลเบิร์น รวมถึงเม็ดเงินมหาศาลที่ประเทศเล็กอย่าง โมนาโก และ สิงคโปร์ ตลอดจนกรณีของ บากู สตรีทเรซ ซึ่งเป็นทั้งแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เมืองหลวงของอาเซอร์ไบจานเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบไม่เป็นที่รู้จักเลย

จากทั้งหมดนี้ จึงเป็นการสะท้อนว่า F1 กำลังขยายฐานความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการหันมาจัดแข่งขันแบบ Street Race ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก ดังนั้น แม้มีความท้าทายมหาศาลและงบก้อนใหญ่ที่ต้องลงทุน แต่เมื่อพิจารณาถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่คุ้มค่าแล้ว รัฐบาลประเทศต่างๆ จึงยังคงพร้อมทุ่มงบประมาณและแย่งสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพ  / bullandbearmcgill


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer