ในอนาคตเครือข่ายมือถือไทยมีศักยภาพในการให้บริการที่เพิ่มขึ้น เมื่อ AIS และ True Corp. ได้คลื่นความถี่เพิ่มเติมจากการประมูลคลื่นที่ กสทช. นำคลื่นออกมาประมูลเมื่อ 29 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา
การประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้ AIS ได้คลื่นความถี่ 2100 MHz เข้ามาทดแทนคลื่นเดิม ส่วน True Corp. เน้นประมูลคลื่น 1500 MHz ที่ยังไม่มีให้บริการ และ 2300 MHz ที่หมดสัญญา Partnership กับ NT หรือ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ในปีนี้
ซึ่งทั้ง AIS และ True Corp. ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ เพื่อเสริมประสิทธิภาพ 4G และรองรับการใช้บริการ 5G ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเริ่มต้นใช้บริการคลื่นความถี่ที่ประมูลได้มา 4 สิงหาคม 2568
เนื่องจากที่ผ่านมาคลื่นความถี่ที่มีอยู่ไม่เพียงพอรองรับความต้องการในอนาคต บนการใช้งานมือถือของคนไทยที่ในปัจจุบันมีมากถึง 143% ของประชากรทั้งประเทศ โดยในปัจจุบันผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้งานเครือข่าย 4G เป็นหลัก และมีการใช้ 5G เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างเช่น AIS ไตรมาส 4/2567 มีผู้ใช้งาน 5G จำนวน 12.0 ล้านราย
ไตรมาส 1/2568 12.7 ล้านราย
True Corp. ไตรมาส 4/2567 มีผู้ใช้งาน 5G จำนวน 13.8 ล้านราย
ไตรมาส 1/2568 14.2 ล้านราย
การเติบโตของการใช้งาน 5G นอกจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการใช้งานดาต้าที่เพิ่มขึ้นจากคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่มีคุณภาพสูง การเติบโตนี้ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือยังร่วมผลักดันการใช้งานผ่านแพ็กเกจ แคมเปญโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อสร้างรายได้ที่เติบโตจาก ARPU (Average Revenue Per User) หรือรายได้เฉลี่ยต่อลูกค้าต่อเดือนเพิ่มสูงขึ้นอีกทางหนึ่ง และการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของ 5G จำเป็นต้องมีคลื่นความถี่มารองรับความต้องการเพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดี

กลับมาที่การประมูลคลื่นในครั้งนี้ AIS ประมูลได้คลื่น 2100 MHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่กลาง เพื่อเติมเต็มจากเดิมที่ AIS มีคลื่นครอบคลุม 5 คลื่นความถี่ ทั้งคลื่นความถี่ต่ำ กลาง และสูง
เนื่องจากสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS มองว่าคลื่น 2100 MHz ที่ได้มาสามารถใช้งานได้ทันทีในปัจจุบัน ในราคา 14,850 ล้านบาท ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในระยะยาว การได้รับใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2100 MHz จะทำให้ AIS สามารถรองรับการใช้งานของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีทั้งในด้านคุณภาพ ความเร็ว และสามารถรองรับเทคโนโลยีต่าง ๆ ในอนาคต
ในมุมของ True Corp. เข้าประมูลคลื่นความถี่เพิ่ม 2 คลื่น ได้แก่ 1500 MHz และ 2300 MHz ด้วยวงเงินรวมกันประมาณ 26,424 ล้านบาท
การได้คลื่นทั้ง 1500 MHz และ 2300 MHz เป็นหนึ่งในการลงทุนเชิงกลยุทธ์ และเป้าหมายการจัดการคลื่นความถี่ที่มุ่งรองรับการเติบโตของเทคโนโลยี 5G, AI, IoT และเทคโนโลยีล้ำสมัย ยกระดับคุณภาพโครงข่ายเพื่อให้บริการลูกค้าทั่วประเทศให้ได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด รองรับภารกิจการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ตามที่ซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้มองไว้
โดยคลื่น 2300 MHz เป็นการนำคลื่นที่สามารถใช้งานได้ทั้ง 4G และ 5G นอกจากนี้ยังสามารถนำมาเพิ่มศักยภาพ 5G ของคลื่น 2600 MHz ให้เป็น 5G ได้
ส่วน 1500 MHz เสริมประสิทธิภาพเทคโนโลยี 5G และต่อยอดการใช้งาน 4G สามารถนำมาใช้งานเพื่อเพิ่มจำนวนการใช้งาน เพิ่มความครอบคลุมในช่วงดาวน์โหลด รองรับการใช้งานดาต้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในพื้นที่หนาแน่นและนอกเมือง
อย่างไรก็ดี การประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้อาจจะไม่ดุเดือดเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากในวันนี้ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือมีผู้ให้บริการเหลือเพียง 2 ราย หลังจากที่ทรูและดีแทคได้ควบรวมบริษัท ประกอบกับผู้ให้บริการทั้งคู่มีคลื่นความถี่ให้บริการอยู่ในมือหลากคลื่นความถี่จากการประมูลหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา
ซึ่ง AIS มีคลื่นความถี่เดิม 5 คลื่น ได้แก่
กลุ่มคลื่นความถี่ต่ำ
มีคุณสมบัติเดินทางได้ไกล และทะลุสิ่งกีดขวางได้ดี แต่มีความเร็วในการให้บริการที่ต่ำ ประกอบด้วย
700 MHz หมดอายุ License 2579
900 MHz หมดอายุ License 2574
กลุ่มคลื่นความถี่กลาง
มีคุณสมบัติให้ความเร็วที่สูงกว่าคลื่นความถี่ต่ำ และสามารถส่งสัญญาณได้ไกลกว่าคลื่นความถี่สูง
1800 MHz หมดอายุ License 2576
2100 MHz หมดอายุ License 2570
2600 MHz หมดอายุ License 2578
กลุ่มคลื่นความถี่สูง
ให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง สามารถอัปโหลด ดาวน์โหลดไฟล์ได้สูงสุด แต่ส่งสัญญาณได้เพียงระยะใกล้ ๆ
26 GHz หมดอายุ License 2578
ส่วน True Corp. มีคลื่นความถี่ 6 คลื่น ได้แก่
กลุ่มคลื่นความถี่ต่ำ
700 MHz หมดอายุ License 2578
900 MHz มี 2 ใบอนุญาต หมดอายุ License 2574 และ 2576
กลุ่มคลื่นความถี่กลาง
1800 MHz หมดอายุ License 2576
2100 MHz หมดอายุ License 2570
2600 MHz หมดอายุ License 2578
กลุ่มคลื่นความถี่สูง
26 GHz หมดอายุ License 2578
จากนี้ต่อไปเชื่อว่าผู้ใช้งานมือถือจะได้รับประโยชน์จากคลื่นความถี่ที่ได้รับมาใหม่มากขึ้น แต่ค่าบริการจะเป็นเช่นไร คงต้องดูกันต่อไป
