ในช่วงเวลาที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ฝรั่งเศสเองก็กำลังหาสารพัดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
ทว่าท่ามกลางความพยายามเหล่านี้ กลับมีข้อเสนอหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจและเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง นั่นคือการที่รัฐบาลเตรียมยกเลิกวันหยุดราชการที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ 2 วัน
เมื่อ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ฟรองซัวส์ บายรู ของฝรั่งเศส ได้เสนอมาตรการปฏิรูปเชิงรุก เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจ และป้องกันไม่ให้ประเทศต้องเผชิญวิกฤตหนี้สินรุนแรง
โดยเรื่องที่กลายเป็นประเด็นขึ้นมาในข้อเสนอนี้คือการยกเลิกวันหยุดราชการ 2 วัน ได้แก่ วันอีสเตอร์มันเดย์ และวันรำลึกชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 6 เมษายน และวันที่ 8 พฤษภาคม ตามลำดับ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่รุนแรง โดยฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับการขาดดุลงบประมาณสูงถึง 5.8% ของ GDP ซึ่งเกินกว่าเพดาน 3% ที่กำหนดโดยกฎของสหภาพยุโรปอย่างมาก
นอกจากนี้ ภาระหนี้สาธารณะของประเทศยังพุ่งสูงถึง 3.3 ล้านล้านยูโร (ประมาณ 129 ล้านล้านบาท) โดยมีดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายปีละ 60,000 ล้านยูโร (ประมาณ 2.34 ล้านล้านบาท) ซึ่งอาจกลายเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่สุดในงบประมาณของประเทศในไม่ช้า
นายกรัฐมนตรี บายรู ให้เหตุผลว่าที่ต้องเสนอนโยบายดังกล่าวเพราะ นี่เป็นหนี้ก้อนโตที่อันตรายต่อภาคการคลังของประเทศ โดยรัฐบาลตั้งเป้าตัดงบประมาณให้ได้ 43,800 ล้านยูโร (ประมาณ 1.71 ล้านล้านบาท) เพื่อลดการขาดดุลลงเหลือ 4.6% ในปีหน้า และบรรลุเป้าหมาย 3% ภายในปี 2029
โดยเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ประชาชนต้องออกมาทำงานกันมากขึ้น เพื่อช่วยกระตุ้นและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอการยกเลิกวันหยุดราชการกำลังเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากหลายฝ่าย
จอร์แดน บาร์เดลลา จากพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ซึ่งเป็นพรรคเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภา วิจารณ์ว่าเป็นเหมือนการด้อยค่าประวัติศาสตร์ และมองข้ามชนชั้นแรงงานของฝรั่งเศสโดยตรง ดังนั้น ทางพรรคจึงขอคัดค้าน
ด้านผู้นำพรรคอื่นๆ อีกหลายพรรค ทั้ง พรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส พรรคแอลเอฟไอ และ พรรคสังคมนิยม ก็ต่างแสดงความไม่พอใจเช่นกัน
นอกจากการเสนอให้ลดวันหยุดราชการ 2 วันดังกล่าวแล้ว รัฐบาลฝรั่งเศสยังได้เสนอมาตรการรัดเข็มขัดอื่นๆ เข้ามาในงบประมาณปี 2026 ซึ่งรวมถึงการตรึงค่าใช้จ่ายของรัฐบาลโดยรวม ยกเว้นการชำระหนี้และการป้องกันประเทศ
ฝ่ายประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ได้เรียกร้องให้เพิ่มงบประมาณ 3,500 ล้านยูโร (ประมาณ 137,000 ล้านบาท) ในปี 2026 รวมถึงการคงระดับเงินบำนาญไว้เท่าปี 2025 จำกัดค่าใช้จ่ายสวัสดิการ การลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 5,000 ล้านยูโร (ประมาณ 195,000 ล้านบาท) ตรึงเงินเดือนข้าราชการและหน่วยงานรัฐ และการลดจำนวนพนักงานในภาครัฐ
สถานการณ์ทางการเมืองฝรั่งเศสในปัจจุบันกำลังทวีความซับซ้อน เนื่องจากการที่ประธานาธิบดี มาครงได้ตัดสินใจยุบสภาและจัดการเลือกตั้งฉุกเฉินเมื่อปี 2024 ส่งผลให้รัฐสภาชุดปัจจุบันไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมากเด็ดขาด ดังนั้น นายกรัฐมนตรี บายรู จึงไม่มีเสียงเพียงพอที่จะผ่านงบประมาณได้
โดยในกรณีที่ไม่สามารถตกลงกันได้ นายกรัฐมนตรีผู้มากประสบการณ์ผู้นี้อาจเผชิญกับการลงมติไม่ไว้วางใจ แบบเดียวกันที่ทำให้อดีตนายกรัฐมนตรี มิเชล บาร์นิเยร์ ต้องพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว
นี่ทำให้ต้องติดตามกันต่อไปว่า จะมีการปรับแก้นโยบายใดๆ ก่อนการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณฉบับสมบูรณ์ เพื่อให้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาภายในตุลาคมนี้หรือไม่
ความเคลื่อนไหวทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างเร่งด่วนของรัฐบาลฝรั่งเศสในการแก้ปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะและฟื้นฟูเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ด้วยเสียงคัดค้านจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่แข็งกร้าว รวมถึงการที่รัฐบาลมีเสียงข้างน้อย ทำให้เส้นทางสู่การผ่านงบประมาณฉบับนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคและความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการเมืองและวิกฤตรัฐบาลอีกครั้งในอนาคตอันใกล้ / theguardian
