บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กำลังเดินหน้าปรับโครงสร้างพอร์ตโฟลิโอครั้งสำคัญ มุ่งสู่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตอย่างเต็มรูปแบบ โดยในครึ่งแรกของปี 2568 ได้มีการลงทุนครั้งใหญ่ใน 3 กลุ่มธุรกิจที่เป็นยุทธศาสตร์หลัก 

ที่ได้แก่ การขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติและเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (CCUS) ในสหรัฐอเมริกา, การเข้าลงทุนในธุรกิจนิกเกิลที่อินโดนีเซียเป็นครั้งแรก และการรุกขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ในออสเตรเลียและญี่ปุ่น

การเคลื่อนไหวเชิงรุกเหล่านี้เกิดขึ้นแม้ว่าบริษัทจะเผชิญผลขาดทุนสุทธิ 1,428 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากอัตราแลกเปลี่ยน

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางของบริษัทมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตจากสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง โดยมี 3 กลุ่มธุรกิจหลักเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง 

ก๊าซธรรมชาติและ CCUS : ต่อยอดฐานที่มั่นในสหรัฐฯ บ้านปูได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ผ่านการเข้าซื้อกิจการ Bedrock Production, LLC ในแหล่งบาร์เน็ตต์ รัฐเท็กซัส

ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกราว 108 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเพิ่มปริมาณสำรองก๊าซฯ อีก 1 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต 

นอกจากนี้ โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) East Texas ก็ได้รับการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย โดยมีเป้าหมายกักเก็บคาร์บอน 70,000 ตันต่อปี และจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2570

นิกเกิล: ก้าวแรกสู่แร่ธาตุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า บริษัทได้ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมแร่ธาตุสำหรับพลังงานอนาคตเป็นครั้งแรก ด้วยการลงทุนใน PT Aneka Tambang (AKP) ที่ประเทศอินโดนีเซีย 

การลงทุนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นเชิงยุทธศาสตร์ในการเข้าถึงแหล่งนิกเกิลคุณภาพสูง ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

ระบบกักเก็บพลังงาน : เสริมแกร่งพลังงานหมุนเวียน บ้านปูเร่งขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มีเสถียรภาพ โดยได้ลงทุนครั้งใหญ่ในโครงการ Wooreen Energy Storage System (WESS) ที่ออสเตรเลีย 

ซึ่งมีกำลังผลิตติดตั้งสูงถึง 350 เมกะวัตต์ และความจุ 1,400 เมกะวัตต์ชั่วโมง ขณะที่โครงการ Iwate Tono ในญี่ปุ่น ก็ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แม้การลงทุนในธุรกิจใหม่จะเป็นแกนหลัก แต่ธุรกิจเดิมยังคงมีความสำคัญ โดยธุรกิจเหมืองได้รับผลกระทบจากราคาถ่านหินที่อ่อนตัว แต่ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนก็ยังคงเป็นแหล่งสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงให้กับบริษัท

สำหรับผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 2,521 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 84,543 ล้านบาท) และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 571 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,144 ล้านบาท) 

ส่วนผลขาดทุนสุทธิ 1,428 ล้านบาท เป็นการรับรู้ผลขาดทุนทางบัญชีที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งไม่กระทบต่อสภาพคล่องและการดำเนินงานหลักของบริษัทแต่อย่างใด


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer