กระแส Nostalgia กำลังทำให้สิ่งที่เคยฮิตในอดีตหวลคืนกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง และหนึ่งในนั้นคือ ทามาก็อตจิ ของเล่นดิจิทัลจำลองการเลี้ยงสัตว์เสมือนจริงรูปทรงไข่ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุค 90 สร้างความเพลิดเพลินในการเลี้ยงที่ต้องใส่ใจทุกช่วงเวลาเหมือนการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงจริง ๆ ทั้งการป้อนอาหาร เป็นเพื่อนเล่น ทำความสะอาด พาอาบน้ำ พานอน ป้อนยารักษายามป่วยไข้ เพื่อให้น้องทามาก็อตจิเติบโตเป็นร่างที่สมบูรณ์และอยู่กับผู้เลี้ยงให้นานที่สุด

ภายใต้เบื้องหลังทามาก็อตจิ มีต้นไอเดียมาจาก อากิฮิโระ โยโคอิ ประธานบริษัท Wiz ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบของเล่นในประเทศญี่ปุ่น ได้เห็นโฆษณาตัวหนึ่งที่เล่าเรื่องราวของเด็กชายที่แม่ไม่อนุญาตให้นำเต่าซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักเดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกันได้

เธอได้นำเรื่องเล่าในโฆษณานี้มาเสนอกับ อากิ มาอิตะ นักการตลาดของบริษัทของเล่น Bandai เพื่อนำมาต่อยอดเป็นทามาก็อตจิ ในฐานะของเล่นจำลองการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่พกพาได้
โดยคำว่า “ทามาก็อตจิ” มาจากคำว่า Tamago ที่แปลว่าไข่ และ uotchi ที่แปลว่านาฬิกา

ทามาก็อตจิเปิดตัวครั้งแรกในปี 1996 และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทย


ความสำเร็จนี้เกิดจากเสน่ห์ของรูปแบบการเล่นที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ที่สามารถสร้างความผูกพันด้านอารมณ์ของผู้เล่น และไม่สามารถคาดเดาอนาคตของสัตว์เลี้ยงนี้ได้ว่าจะเติบโตขึ้นมาในรูปแบบไหน ซึ่งขึ้นอยู่กับความใส่ใจของผู้เล่น ผสมกับราคาที่จับต้องได้ จึงทำให้ทามาก็อตจิกลายเป็นของเล่นยอดนิยมในยุคนั้น จนเกิดการต่อยอดยังทามาก็อตจิรุ่นอื่น ๆ เข้ามาเสิร์ฟตลาดอย่างต่อเนื่อง

เมื่อความแปลกใหม่ของทามาก็อตจิเริ่มจางหาย ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายหรือกดดันกับการดูแลสัตว์เลี้ยงดิจิทัลที่ส่งสัญญาณร้องเรียกอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งรูปแบบการดูแลก็ซ้ำเดิมในทุก ๆ วัน ทำให้ความตื่นเต้นค่อย ๆ ลดลงไป ยิ่งไปกว่านั้น ในบางสถานที่ เช่น โรงเรียน ยังได้มีการประกาศห้ามนักเรียนนำทามาก็อตจิมาเล่น เพราะถือเป็นสิ่งรบกวนเวลาเรียนจากการหยิบขึ้นมาดูแลอยู่ตลอดเวลา

นอกจากกระแสความนิยมที่เริ่มลดลงแล้ว ทามาก็อตจิยังเผชิญกับปัญหาสินค้าลอกเลียนแบบที่เข้ามาตีตลาดในหลายประเทศ อีกทั้งการปรากฏตัวของกระแสความนิยม Furby ที่เข้ามาดึงดูดเม็ดเงินและความสนใจของผู้บริโภค ผลลัพธ์คือ Bandai ผลิตทามาก็อตจิออกมาเกินความต้องการของตลาดจำนวนมาก คิดเป็นความสูญเสียมากถึง 6,000 ล้านเยน (ประมาณ 1,320 ล้านบาท) จนต้องหยุดผลิตในช่วงเวลาหนึ่ง และนำไปสู่การขาดทุนมหาศาลในช่วงเวลานั้น เนื่องจากบริษัทพึ่งพารายได้จากทามาก็อตจิมากเกินไป

ทั้งนี้ แม้ทามาก็อตจิทิ้งรอยแผลด้านผลประกอบการให้กับ Bandai แต่ด้วยความเป็นสินค้าที่เคยสร้างชื่อและรายได้ให้กับธุรกิจด้วยยอดขายสะสมปี 1996-1999 มากถึง 40 ล้านเครื่องทั่วโลก

ทำให้ Bandai ยังคงเห็นโอกาสในของเล่นชิ้นนี้ เพราะในปี 2004 Bandai ได้เปิดตัวทามาก็อตจิอีกครั้ง พร้อมฟีเจอร์ที่เชื่อมต่อกับเพื่อนได้ผ่านเทคโนโลยีอินฟาเรด

ในปี 2017 ได้เปิดตัวทามาก็อตจิรุ่นแรกในสีสันใหม่ ๆ เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 20 ปี และทำให้กระแสทามาก็อตจิกลับมาฮือฮาในกลุ่มแฟนยุคแรก ให้หวลคิดถึงวันเก่า ๆ ได้เป็นอย่างดี


จนกระทั่งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา Bandai ได้นำทามาก็อตจิมาสร้างตลาด ผ่านกลยุทธ์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี เช่น การเชื่อมต่อไปโลกเมตาเวิร์ส และการ Collab กับคาแรกเตอร์ต่าง ๆ เช่น ทามาก็อตจิดาบพิฆาตอสูร, ทามาก็อตจิคิตตี้, ทามาก็อตจิสตาร์วอร์ส, ทามาก็อตจิสปายXแฟมิลี่ และอื่น ๆ รวมถึงการสร้างกระแสตลาดผ่านโซเชียลมีเดียผ่านคอนเทนต์ต่าง ๆ เพื่อขยายสู่ฐานลูกค้า เข้าถึงคนรุ่นใหม่ และทำให้ทามาก็อตจิกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งการกลับมาทำตลาดอีกครั้งของทามาก็อตจิ สามารถสร้างยอดขายสะสมระหว่างปี 2004-มีนาคม 2024 ได้มากถึง 54.5 ล้านเครื่องเลยทีเดียว

 

อ้างอิง

12345

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer