สงครามวิดีโอสตรีมมิ่งเดือดขึ้นอีกขั้น! เมื่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์ “ดิสนีย์” พร้อมแล้วกับการส่ง Disney+ (ดิสนีย์ พลัส) ลงสู้ศึกสตรีมมิ่ง
โดยจะเริ่มรันที่แรกในสหรัฐอเมริกา 12 พ.ย. นี้ เปิดตัวด้วยราคาเเค่ $6.99 ต่อเดือน สวนทางกับเจ้าพ่อแห่งวงการอย่าง Netflix ที่เพิ่งประกาศปรับราคาแพ็กเกจเริ่มต้นขึ้นจากเดิม $10.99 ปรับเป็น $12.99 (ราคานี้มีผลทั่วโลกทั้งสมาชิกเก่า-ใหม่)
สำหรับประเทศไทยและในประเทศอื่นๆ กับบริการ Disney+ ยังต้องรอไปก่อน…
เเละต้องติดตามกันต่อว่า Disney+ จะขยายไปยังประเทศอื่นได้เร็วแค่ไหน เพราะถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจท้าทายและไม่ใช่เรื่องง่าย
ไหนจะเรื่องของซับไตเติ้ลรวมถึงการทำตลาดในภูมิภาคนั้นๆ อีกด้วย รวมถึงในอเมริกาเองจะประสบความสำเร็จเเค่ไหน ก็ยังไม่มีใครการันตีได้เช่นกัน
ด้านตัวคอนเทนต์สำหรับตัว Disney+ ทางดิสนีย์ เตรียมดึงลูกค้าด้วยหนัง-ซีรีส์จากค่ายดัง เช่น Disney, Pixar, Marvel, Star Wars และ National Geographic
โดยในช่วงแรกจะมีหนังประมาณ 500 เรื่อง ซีรีส์ 7,500 ตอน คุณภาพรองรับการรับชมแบบ 4K HDR รวมถึงดาวน์โหลดไว้ดูแบบออฟไลน์ได้
สามารถรับชมได้ผ่านสมาร์ทดีไวซ์ทั้งหลายเหมือนกับสตรีมมิ่งเจ้าอื่นๆ และในอนาคตยังเตรียมออกแพ็กเกจบันเดิ้ลควบ Hulu และ ESPN+ ตามมา
ถึงขั้น Netflix Killer ไหม?
แม้ Disney+ จะมาชนกับ Netflix ตรงๆ ก็จริง แต่ไม่ได้เกิดมาเป็น Killer เต็มตัว…
เพราะต้องอย่าลืมว่าความแข็งแกร่งของ Netflix คือ Original Content ทั้งหนังและซีรีส์ที่ทำออกมาได้ดีมาก ตัวอย่างเรื่อง Bird Box ที่มีอัตราผู้รับชมและชมจนจบเรื่องมากกว่า 70%
รวมถึงตัวเลขยอดสมาชิก (subscribe) ของ Netflix ที่แตะหลัก 150 ล้านคนทั่วโลกเลยทีเดียว ถือเป็นแฟนบอยแฟนคลับซีรีส์ที่มีมหาศาล
ส่วนในฝั่งของ Disney+ จุดแข็งก็คือการได้คอนเทนต์จากค่ายใหญ่ๆ เช่น Marvel, Pixar รวมถึงของ Disney เอง แบบ Exclusive Contents อยู่ในมือ
ไม่ใช่แค่มีหนังดัง หนังเก่า แต่ยังถือเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการต่อยอดสู่ Original Content ของตัวเองอีกด้วย
ข้อดีที่แตกต่างตรงนี้ จึงไม่แปลกที่ในอนาคตหลายคนอาจต้อง ‘ยอมควักกระเป๋าจ่ายควบ 2 บริการ’ เพื่อที่จะได้เสพคอนเทนต์ที่สนใจได้อย่างเต็มอิ่ม!
ข้อมูล : thewaltdisneycompany.com, variety.com
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



